วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2551

iPhone nano ขายแล้วในไทย!!!

จริง ๆ กะว่าจะไม่เขียนอะไรจนกว่าจะปีใหม่ 

อยากให้ผ่านเดือนธันวาไปซะก่อน เพราะช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวายมากมาย

วันนี้ก็เช่นกัน ไปยกเลิก UBC (ค่าบริการมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ด้วย -*-)

บังเอิญผ่านบูทมือถือ เหลือบไปเห็น iPhone อันจิ๋ว

นี่มัน iPhone Nano นี่หว่า ... มาได้ไงวะ ... จำได้ว่าเปิดตัวปีหน้า

กลับมาเลยลองมาหาข้อมูลดู

ก็ไปเจอนี่ http://www.appleinsider.com/articles/08/12/26/iphone_nano_knockoffs_already_on_sale_in_thailand_photos.html

via : blognone

เหอะ ๆ ออกก่อนของจริงซะอีก ... สุดยอดหวะ

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

มันวิ่งได้รึเปล่า ?


พอดีไปเจอภาพนี้ในเว็บ makezine.com เราก็สงสัยเหมือนกันนะ ว่ามันจะวิ่งรึไม่วิ่ง 
และเพราะอะไรถึงคิดยังงั้น ลองเอาไปคิดเล่น ๆ ดูนะครับ ว่ามันวิ่งไม่วิ่ง
มีข้อความบรรยายแถมมานิดหน่อย 

HERE’S a real brain tickler for puzzle fans—study the drawings above, figure out whether the lead balls and the water motor will move the vehicles or not (and why), send in your less than 300 word letter giving your reasons, and you may be rewarded with a check for $10. Somebody’s bound to win that $10 check; it might just as well be you. There are no hidden tricks in these drawings. All you need is an understanding of natural laws. In addition to the $10 award for the best tetter, all other letters published will be paid for at regular space rates. Keep your letter under 300 words, and be sure to mail it before May 15, 1932. Address letters to the Freak Vehicle Editor, Modern Mechanics and Inventions, 529 S. Seventh St., Minneapolis, Minn. Don’t fail to tell why the vehicles will or will not run. Here is the problem: A vehicle carries a number of heavy lead balls, on its roof, which fall off the end of a trough and strike a second trough, mounted at a 45 degree angle at the rear of the car. Will the falling of the balls make the vehicle move? The second vehicle is similar to the first, except that water is used instead of lead balls. The water is pumped against the trough by a motor, is retrieved in a funnel after it has passed down the trough, and is used over again. Will the water power move this vehicle?
จริง ๆ เป็นคำถามถึงความเข้าใจ ในธรรมชาตินะเนี่ย ได้ทดสอบระบบความรู้ความคิดยังงี้ก็ดีแฮะ

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ศพราคาถูก ปรุงพร้อมทาน


พึ่งจบไปวันนี้ กับนิทรรศการ “Body and the dead” ของ กิตติวัฒน์ อุ่นอารมณ์

จัดที่ whitespace ce (ตรงด้านหลัง lido) ทีแรกก็งง ๆ ยิ่งงงกว่าเมื่อเห็นป้าย

"Human Bread

ขนมปังหน้าคน

for sale 70 baht"

เหอะ ๆ

โคตรจะแนว

พอดีเพื่อนกลัวเลยไม่ได้เข้าไปดู 

แต่จะเป็นไงนะ ถ้าลองซื้อติดมือไปแทะตอนเดินเล่นสยาม

เหอะ ๆ .... คงได้เป็นสะเก็ดข่าว

ภาพประกอบจาก : เว็บไซต์ของ whitespace ce

แอบคิด

บ้านเมืองจะเป็นยังไง ถ้ามี “พันธมิตร” ตรวจสอบ และมี “ทักษิณ” เป็นรัฐบาล

ก็คงจะดีแฮะ

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

มักง่ายไปมั๊ง

เดี๋ยวนี้มียังงี้ด้วยนะ

เดิน ๆ อยู่แล้วไปสะดุดป้ายนี้เข้า แปะไว้ที่เสาไฟฟ้าระหว่างทาง

ผมเคยเห็น บุญแบบสำเร็จรูป ซื้อแล้วได้บุญเลย มาก็หลายแบบแล้ว 

จุดบริการตักบาตรที่จะมีคนมาขายของ กับพระรอรับของ ก็เคยเห็นมาแล้ว

แต่รู้สึกว่าอันนี้แหละแปลกสุด เรื่องยังงี้ยังมีทางลัดอีกเหรอเนี่ย

อยากรู้เหมือนกันนะว่าเค้าจะทำยังไง 

แต่ก็ไม่ได้ลองโทรไป เพราะคิดว่าเราก็เจอทางของเราแล้ว

แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าเค้าทำอะไรกัน

ใครโทรไปคุยกับเค้าแล้ว มาเล่าให้กันฟังบ้างนะครับ อยากรู้จริง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อาจจะไม่รู้ความจริง

มีคำถามว่า

ราชรถของฮ่องเต้ ตกลงไปในแม่น้ำ

ช่วยคนขับรถขึ้นมาได้ ฮ่องเต้สวรรคต

คนรถบอกว่า การสวรรคต ไม่เกี่ยวกับเค้า

นายอำเภองี่เง่าเชื่อคำพูดเค้า

ลองบอกมาซิว่าเพราะอะไร









เพราะว่าราชรถคือโลงศพของฮ่องเต้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ามองอะไรแต่ภายนอก 

ฮ่องเต้อาจสวรรคต และนายอำเภออาจไม่งี่เง่า

ถ้าเราถูกรูปภายนอกหลอก เราจะไม่มีวันรู้ความจริง

via : คัมภีร์ไร้อักษร (ในชุด เฌรน้อยเซียวลิ้มยี่)

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

งาน ReadCamp #1

พึ่งกลับมาจากงาน ReadCamp ครั้งที่ 1 กลับมาก็รีบมาเขียนไว้ก่อนเลย
งานนี้จัดในรูปแบบงาน unconference คร่าว ๆ ก็คืองานทีุ่ทุกคนเป็นวิทยากร
มารวม ๆ กัน แล้วเขียนหัวข้อที่ตัวเองจะพูดแปะไว้ แล้วให้มาโหวตกันว่าอยากฟังของใครบ้าง
มารอบนี้ก็เป็นเรื่อง ของเกี่ยวกับ การอ่าน 


ได้แลกเปลี่ยน ถกเถียง ฟังความเห็นของคนอื่น เห็นความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ
ทั้งสนุกทั้งน่าสนใจ ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่มีความคิดเจ๋ง ๆ 
ในเรื่องที่คิดไม่ถึง หรือเรื่องธรรมดา ๆ ในมุมมองของคนอื่น 
ตื่นเต้นดีแฮะ ... อยากรู้ตลอดว่าจะได้ฟังเรื่องอะไรบ้าง 
อีกอย่างที่ดีมาก ๆ คือ ตอนสมัครมาทุกคนเป็นผู้พูด ทำให้กล้า ที่จะพูดเสนอความเห็นของตัวเอง
และที่สำคัญทุกคนต้องเป็นผู้ฟังด้วย เวลาเราพูดก็จะมีคนตั้งใจฟัง 
แล้วก็ถาม ถก เถียง ด้วยความเห็นหลากหลาย
บางประเด็นเริ่มด้วยเรื่องง่าย ๆ แต่แตกประเด็นย่อย ๆ ออกไปจนกลายเป็นเรื่องสนุกไปได้ก็มี
นักพูดก็มีตั้งแต่มีเก๋า จนถึงมือใหม่ แม้แต่คนที่เอามาแต่หัวข้อ แต่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรก็ยังมี
มาถึง ก็ช่วย ๆ กันสร้างประเด็นต่อเติมหัวข้อกันออกไป ... ขำ ๆ


งานนี้แบ่งเป็นสามห้อง ห้องละ 8 session (มั๊ง แต่หัวข้อเยอะกันมาก ๆ) 
อยากจะเข้าฟังมันทุกห้องทุก session เลย แต่ก็ต้องเลือกเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในช่วงนั้น
งานนี้มีเรื่องที่เราคิดว่า น่าสนใจมาก ๆ อยู่ 2 เรื่อง

อันแรกเป็นหัวข้อ ความโรแมนติกของสามก๊ก เนื้อหาหลักคนพูดก็นำเสนอได้ดีมาก ๆ 
ทำการบ้านมาดีทีเดียว แต่ที่น่าสนใจคือการเปรียบเทียบสามก๊ก กับการเืมืองเราในตอนนี้
โจโฉเก่งกาจ มากความสามารถ แต่เพื่อเป้าหมาย บางครั้งก็มองข้ามคุณธรรม 
คนจะดีจะเลวไม่สนใจ ถ้าเก่งและทำงานได้ เค้าใช้หมด
เล่าปี่ and the gang ใช้คุณธรรมกับพลังของประชาชน ในการสร้างฐานกำลัง
ลุกไล่ ตลอด แต่กำลังน้อย อณาจักรเล็ก ได้แต่คอยตอด ทำควาามเสียหาย
ซุนกวน ประวัติศาสตร์ยาวนาน ฐานกำลังแข็งแกร่ง แต่่เยิ่นเย้อชักช้า 
ทำอะไรไม่ทันการ ไม่เด็ดขาด สุดท้ายเลยขึ้นเป็นหัวหลักไม่ได้ซักที
เอา เข้าใจเปรียเทียบแฮะ ว่ายังงี้ก็เห็นภาพขึ้นมาเลย
เรากำลังรอสุมาี้อี้อยู่ใช่มั๊ยเนี่ย ...5555

อีกเรื่องคือของอาจารย์โป้ง worst is better เนื้อหาและิวิธีการนำเสนอเข้มข้นจนผมไม่กล้าวิจารณ์ 555
ขอเอาข้อความที่เค้าเขียนไว้มาแปะ เลยละกันครับ
"Worse is Better" in the Age of Mash-Ups
Yet again an analysis of Nico Nico Douga mash-up videos. Why are certain contents --- for examples, Touhou, Idolm@ster, Lucky Star, and certain songs --- are so popular? I argue that these contents are "generative." Because of their simplicity, eccentricity, and lack of depth, people feel encouraged to take them apart and recombine them with others. I will also draw parallels between generative contents and successful software systems. Why is C a lot more popular than Lisp? Why is the Internet so great despite being so stupid by design? Why do I like Python and Ruby more than Java? The answer is, I believe, three things: simplicity, usability, and extensibility.


ทุก ๆ หัวข้อที่พูดมีการอัดไว้ เร็ว ๆ นี้คงมีคนเอาขึ้นมาให้ดูกัน ใครสนใจค่อยตามดูอีกทีที่เว็บเค้าละกันครับ

พูดถึงเรื่องคนอื่นไปแล้ว ก็เรื่องของเราบ้าง ... จริง ๆ แล้วเรื่องที่ผมเตรียมไป 
เป็นเรื่องประมาณการดูจิตนี่แหละ เขียนชื่อหัวข้อไปว่า อ่าน"อารมณ์" 
ตั้งใจไว้ว่า จะลองพูดแบบกับคนฟังหลายคนดู ว่าจะทำให้เค้ารู้สึกตัวขึ้นมาได้ซักคนรึเปล่า
แต่จะด้วยชื่อหัวข้อมันคลุมเคลือ รึยังไงก็ไม่รู้
ทีแรกผมนึกว่า หัวข้อที่ผมพูดจะไปอยู่กับ หัวข้อด้านศาสนา 
เพราะมีคนเสนอ เรื่องอ่านลมหายใจ เรื่องพุทธ หรือเรื่องทำนองนี้อยู่ 
แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็น หัวข้อของผม ไปรวมอยู่กับ เรื่องความรักซะงั้น ... 5555
ใน session นั้นเป็นการเอา 5 หัวข้อมาคุยพร้อมกัน
    - รับมือผู้ชายเจ้าชู้
    - art ตัวแม่
    - ฤดูกับอารมณ์
    - เมื่อไหร่ที่ผู้หญิงและผู้ชายจะเข้าใจกัน
    - อ่าน "อารมณ์"
555 ตอนเห็นหัวข้อก็เลยมาวางแผนใหม่ ทำไงจะดึงเข้าประเด็นเราได้หละเนี่ย
ก็เลยให้ ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง เค้าระบาย เรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายกันออกมา 
ก็สนุกดีนะ นาน ๆ ทีให้ผู้ชายกับผู้หญิงมาแชร์ความคิดของเพศตัวเองกันแบบนี้
เถียงๆ  กันอยู่เกือบชั่วโมง จนจะหมดเวลา ... แต่เรายังไม่ได้เสนอไอเดียเราเลย
ก็เลยขอปิดประเด็น โดยเรานำเสนอ วิถีทางพุทธที่จะช่วยแก้ัปัญหาที่แต่ละคนพูดมา
เวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็ถือว่าออกมาโอเคแหละครับ เอาไว้คราวหน้าจะไปแชร์กันใหม่


งานนี้สนุกมาก ๆ ได้คุยกับคนต่าง อาชีพ อายุ สถานะ บริบท สังคม ความคิด วัฒนธรรม
มาพูดคุยในเรื่อง เดียวกัน ด้วยมุมมอง ที่ทั้งเหมือนทั้งต่างกัน 

ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ 

อยากให้จัดอีกทีเร็ว ๆ แอบไปสมัครเป็น staff ช่วยงานในเว็บไว้แล้วด้วย ฮี่ๆ 
ใครไม่เคยไปก็ลองไปกันดูนะครับ เชิญชวน ๆ 
รึใครที่เราเจอในงาน ก็มาเม้นกันบ้างนะ แลกเปลี่ยนความเห็นกัน

ขอบคุณผู้จัดทำกับงานดี ๆ แบบนี้ครับ ขอบคุณนักอ่านทุกคนด้วย สนุกมาก ๆ เลย

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เพลงไทย

อ่านเรื่อง ราตรีประดับ ดาวของขวัญข้าวแล้วก็นึกอยากฟังเพลงไทยขึ้นมา
จริิง ๆ ผมชอบฟังเพลงไทย แล้วก็พวก เอาเพลง classic มาทำ fusion
ดูเป็นท่วงทำนองที่แปลกหูแล้วก็มีพลังดี
แต่ฟังเพลงแบบนี้ ก็มักจะโดนมองว่าเป็นคนแปลก แล้วก็หาคนคุยด้วยเรื่องนี้ยาก
ก็ต้องแอบฟัง ตอนว่าง ๆ ไม่ก็มาเขียนระบายไว้ใน blog นี่แหละ 5555

ถือโอกาสเอา เพลงของขุนอินมาลงไว้ละกันครับ
อยากให้มีเพลงแบบนี้ออกมาอีกเยอะ ๆ จัง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

พบกับขุนอิน โตสง่า ระนาดเอกของไทย ด้วยการผสมผสานดนตรีไทยคลาสสิคกับดนตรีฮิบฮอบ, แจ๊ส, ฟังก์, ร็อค และลาติน กับการเล่นระนาดที่เต็มไปด้วยทักษะและพรสวรรค์ ซึ่งเป็นการยกระดับดนตรีไทยคลาสสิคสู่ระดับสากล
ในอัลบั้ม OFF BEAT SIAM พบการบรรเลงดนตรีไทย 5 เพลงและเพลงร้อง 5 เพลง ซึ่งเป็นการนำ เสนอเพลงร้องที่ความแตกต่างทั้งในด้านภาษาและแนวเพลง
ขุนอิน โตสง่า ระนาด
พัทยา อยู่สถิตย์  คีย์บอร์ด
ธีรเดช หุนสนอง  กีตาร์ไฟฟ้า
วีรวงศ์ วรรณวิจิตร  กีตาร์เบส
จีรวัฒน์ แสงอนันต์ กลองแจ๊ส
ณัฐวุฒิ ลี้กุล 

Khun in

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คิด คิด คิด

ช่วงนี้ ทำงานค่อนข้างหนักทีเดียว 

อาจจะเป็นเพราะเป็นงานในแบบที่ชอบ และอยากทำมานาน

ก็เลยทำ ทำ ทำ ทำ ทำ และ 90% ของงานเป็นการคิด คิด คิด คิด

มีเวลาว่างมาดูจิต นาน ๆ หน เห็นแล้วก็รีบเลือนไป เพราะกลัวจะลืม เรื่องที่คิดอยู่

มีสติแวบมาก็กลับไปเพ่งกับความคิดต่อ การปฏิบัติช่วงนี้จึงหย่อน ๆ ไป

ก็มีหยุดคิดบ้างเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี 

ใจนึงก็อยากจะทำให้ได้ตามเป้าก่อน ยังมีโครงการอีกเยอะแยะที่อยากจะทำ

แต่แค่งานที่ทำตอนนี้ ก็แทบจะใช้เวลาที่มีไปจนหมด

ไหนจะโครงการต่าง ๆ ที่วางไว้สำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง

ตอนทำงานมันก็มันส์ในอารมณ์แหละนะ อยากทำมานานแล้ว

แถมได้เจอคนคอเดียวกันอีก ก็เลยคิด หมกมุ่น และฟุ้ง ๆ ได้ทั้งวัน

แต่พอมีเวลาได้อยู่กับตัวเอง เวลาที่สติกระโดดขึ้นมาขวาง กระแสความคิด

ก็จะรู้สึกกลัวและเร่าร้อน อยู่ในอก 

อยากจะบวช อยากกลับไปดูจิต อยากอยู่ในที่สัปปายะ

...

รู้สึกช่วงนี้ จะคิดถึงเรื่อง ว่าออกไปบวชเลยตอนนี้จะดีไหม ไหน ๆ สุดท้ายเราก็จะบวช

ทำไมไม่บวชมันเสียแต่ตอนนี้เลย ... แต่พอนึกไปนึกมา ก็คิดว่าบวชตอนนี้ ก็คงยังไม่ได้อะไร

สติก็ยังไม่เ้ข้มแข็ง ดูไปลึก ๆ แล้ว บวชเพราะความอยากซะมากกว่า ... อยากสงบ อยากหนีความวุ่นวาย

อยากไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบทางโลก อยากหลบจากปัญหาที่มีอยู่

วันนี้เลยเป็นอีกวันที่เตือนตัวเองว่า เอาไว้ให้สติเข้มแข็ง และไม่ต้องหลีกหนีภาระทางโลกก่อนละกัน

แล้วค่อยไปบวช เผื่อจะได้เอาประสบการณ์ไปช่วยคนอื่นเค้าได้ 

ปล. แต่อยากไปบวชแล้วจริง ๆ นะ -*- เป็นคนโลเลฟุ้งซ่านนะเนี่ย

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

งานจิบกาแฟคนทำเว็บ

วันเสาร์ที่ผ่านมาไปงานจิบกาแฟคนทำเว็บ

เริ่มประเด็น เกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของ สบท

มีความรู้ประหลาด ๆ อย่างที่พึ่งได้รู้ ว่าเราร้องเรียนอะไรได้บ้าง

มีหลายเรื่องที่เราก็เห็นด้วยกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอย่างเรา

แต่หลายเรื่องก็คิดว่า มันอันธพาลไม่ต่างกับ พวกพ่อค้าหรอก

อย่างมีข้อนึงที่บอกว่า บัตรเติมเงิน เมื่อเราซื้อแล้ว ถ้าเรายังไม่โทร

เราก็ควรที่จะใช้บริิการได้เรื่อย  ๆ ทำไมถึงมีหมดวันด้วย แล้วหมดวันถ้าเงินเหลือเป็นยังไง

และดูเหมือนจะมีกรณี ที่ไปร้องเรียน จนทางบริษัทต้องคืนเงินที่เหลืออยู่ในนั้นให้

ถ้ามองแบบง่าย ๆ ก็คงคิดว่าดีจัง แต่ถ้ามองจริง ๆ มันไม่เหลือทางเลือกให้ผู้ให้บริการมากนัก

เป็นผมก็ต้องพยายามหากำไรด้วยวิธีอื่น เช่น ถ้าคนร้องเรียนกันมาก ๆ ก็อาจจะต้อง

คิดค่าบริการของวันด้วย ว่านอกจากจะซื้อ ค่าโทรแล้ว ต้องซื้อวันด้วย เพื่อเอาค่าบริการรับสาย

หรือไม่ก็ต้องคิดค่าบริการทั้งคนโทร ทั้งคนรับ หรือเพิ่มค่าบริการให้สูงขึ้น 

มีชาวต่างชาติคนนึง นำเสนอว่า ที่อินเดีย ใช้กลไกการตลาดในการตัดปัญหานี้

เมื่อหลายปีก่อน เค้าซื้อ 100 บาท ใช้ได้แค่ 70 บาท เพราะต้องเสียค่าอื่น ๆ สารพัด

เค้าไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการโวยวาย แต่ใช้กลไกการตลาดในการช่วยเหลือ คือเปิดโอกาสให้มีการแข่งขัน

กันมาขึ้น ถึงขนาดที่ว่า ไม่ต้องถึงระดับประเทศ แต่แค่ระดับรัฐ (คงหมายถึงจังหวัด) 1 รัฐ ยังอาจมีสัมปทาน

ได้ถึง 4-5 สัมปทานเลย ทำให้ตอนนี้ เค้าซื้อ 100 บาท แต่เค้าใช้ได้ถึง 120 บาท

ว่าไปแล้ว ก็นึกย้อน ๆ ไปถึงนโยบายเก่า ๆ ของรัฐบาล ที่เคยมีนโยบายประมาณนี้เหมือนกัน

แต่ก็มีกลุ่มคนช่วยกันคัดค้าน ด้วยเรื่องว่า ต่างชาติยึดครอง หรือผลประโยชน์อะไรซักอย่างจำไม่ได้

นโยบายประมาณนี้ก็เลยตกไป โดยลืมนึกถึงการแบ่งกันกินของบริษัทใหญ่ในประเทศที่ควบคุมตลาด

และควบคุมทางเลือกของเราเสียหมด จนโดนเอาเปรียบแต่ก็อ้าปากเรียกร้องอะไรไม่ได้

ดูเหมือน monopoly ในไทยมันรุนแรงจริง ๆ เรารับสื่อกันแค่บางด้าน แล้วตัดสินกันบ่อย ๆ 

ทำให้เกมการเมืองเบื้องหลัง ดูเข้มข้น และมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม  



session หลัง ก็เป็นหัวข้อเดิมๆ ที่มักทำกันประจำ คือแชร์ไอเดียกันและปลุกระดม

ให้เราเปลี่ยนจากประเทศผู้บริโภค กลายเป็นประเทศผู้ผลิตแทน

รวมถึงการ update สภาวะการของกลุ่มตลาดของเรา การเข้ามาของต่างชาติ

และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของการเข้าตีตลาดโลก พัฒนาสู่ความเป็นสากล



ผมว่าการรวมกลุ่มพูดคุย กันยังงี้ ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย ทั้งได้ไอเดียจากคนที่เก่ง ๆ 

ทั้งปลุกระดมความห้าวหาญในการทำงานในสาขาของตัวเอง

ความคิดใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ การร่วมมือใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

วงการอื่นก็น่าจะมีการผลักดันให้เกิดการรวมตัว และเป็นผลักดันกันให้มากขึ้นคงดี

มหานคร

สวัสดี สวัสดี

มหานครแห่งนี้ มีทุกอย่างให้เลือกสรร

บริการ สินค้า ก็ครบครัน

แล้วท่านประสงค์สิ่งใด

ความสบายใจ

... อ่าาาาา เป็นบริการแบบเติมเงินรึเปล่าคะ

เอ่อ ถ้าไม่มีเอาความสงบ รึความสุขก็ได้

... เรายังไม่มีบริการเคาเตอร์เซอร์วิส สำหรับสินค้านี้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะขอรายละเอียดไว้ได้ไหมว่ามันคืออะไร

ไม่เป็นไร ไม่มีก็ไม่เอา

ขอบคุณคะ ขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั๊ยคะ

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไปวัดมา

เมื่อปลายเดือนตุลาคม 

ใช้เวลาวันหยุด นั่งรถไปที่ยโสธร ... วัดป่าคำม่วง วัดสาขาวัดหนองป่าพง

ทีแรกเห็นว่า พระอาจารย์ โรเบิร์ต สุเมโธ จะมา

เคยฟัง file เสียงท่านมาแล้ว ชอบที่ท่านเทศน์เหมือนกัน แนวคิดและการเล่าเรื่องแบบตะวันตก

แต่เอามาเล่าในวิถีพุทธ ให้ความแตกต่างทางแนวคิดดีเหมือนกัน

แต่ท่านก็ไม่ได้มา 5555

ไม่เป็นไร เพราะยังไง ก็ได้กราบหลวงตาชู กับพระจากวัดพรหมประปา พระอาจารย์เรืองฤทธิ์

เราก็ได้สอบถามเรื่องการปฏิบัติ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หลวงตาชู สอนว่า "ให้มีอุเบกขากับอารมณ์ ไม่ีมีดี ไม่มีร้าย ให้ใช้อุเบกขา ในการรับรู้"

ส่วน พระอาจารย์เรืองฤทธิ์ นั้นสอนว่า "ที่เรายังตัดกิเลศไม่ได้ เป็นเพราะเราเห็นว่ามันเป็นของดี มีของดีอยู่ใกล้ ก็เลยไปหยิบไปคว้ามันไว้ ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อปัญญาแก่รอบขึ้น ก็จะเห็นว่ามันเป็นของไม่ดี ของสกปรก เมื่อนั้นเราจะวางมันลงเอง และไม่อยากหยิบมันขึ้นมาอีกหรอก"

ตอนท้ายเราต้องรีบลากลับก่อน ท่านยังบอกอีกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก".

เอ๊ะยังไง 5555 ก็งง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามท่่านอีก กราบลาแล้วก็รีบกลับกรุงเทพมาเลย

ไปต่างจังหวัดแล้วดีมาก ๆ บรรยากาศเค้าดีจริง สงบ ร่มใจ แค่อยู่ในวัด ใจก็นิ่ง มีสติเกิดถี่แล้ว

ขอบพระคุณพระอาจารย์ทั้งสองท่ามาก ๆ ครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

งานหนังสือ

ทีแรกแค่ว่าจะไปคุยกับสมคิด ลวางกูร 

ไป ๆ มา ๆ กดไป 24 เล่ม รวม ๆ ราคาปก 6207 บาท

หมดตัว

5555555

เห็นมันลดราคา แล้วก็มีหลายเล่มที่เคยอยากได้ 

จ่ายจริงไปประมาณสามสี่พัน ไม่แน่ใจ

ขากลับนี่สาหัสมาก

หนังสือแต่ละเล่มใหญ่ ๆ ทั้งนั้น

ขนเต็มสองมือ หนักโคตร ๆ 

กว่าจะแบกกิเลสกลับถึงหอได้ ... อย่างเหนื่อย 

แต่ดูหนังสือที่พึ่งซื้อมารอบนี้ ดูเหมือนรสนิยมการอ่านจะเปลี่ยนไป

หนังสือ การตลาด การบริหาร แนวคิด ปรัชญายังซื้อเหมือนเดิม

ที่เพิ่มมาก็เป็นพวกหนังสือธรรมะ กับหนังสือประวัติชีวิตคน

แต่ที่ไม่มีติดมาเลยคือ พวก ศิลปะ design แล้วก็หนังสืออ่านเล่นอย่างอื่น

อายุมากขึ้น ความอยากอ่านก็มากขึ้น

ความคิดเปลี่ยน การเสพก็เปลี่ยน 

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Who r U ?

แบบทดสอบ http://www.4cs.yr.com/thailand/
เป็นพวกแสวงหา ชอบของแปลก ชอบสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ซะงั้น

Main Priority: Discovery

Characterisation: Explorer

Who am I? How far, how fast can I go? What is over there? What will happen if I do this? Life is a voyage of discovery, an adventure, an experiment.

You are generally full of spontaneous energy, new ideas and possibilities. It may mean taking a risk, but if the feeling comes to you, you are ready to leave it all behind and follow your impulse wherever it may lead. You cannot commit totally to decisions that could tie you down, lock you into routine - there must always be doors that open to change and new directions.

Your creativity is in the breaking of rules, conventions and stereotypes. The discovery of new and exciting people/music/ideas/films/places/ways to do things. Friends are most probably very important in your life, and you like to work and play in a group. What you respect in others is originality, a real point of view, true to itself, attitudes that don’t compromise. And imaginative, clever, ambiguous, somewhat extreme or sometimes even slightly cruel ways of expressing an individual take on reality.

 

Main Priority: Control

Characterisation: Succeeder

You are powered by a strong goal orientation; your long term growth plans backed up by the confidence of high self-worth. The underlying aim of your drive is duration and stability, a desire for lasting personal achievement. It’s possible that you have a forward plan of your life worked out, and think in terms of strategic moves towards willed outcomes.

Your creativity works in a process of simplifying complexity – cutting through ambiguity and extraneous complication, organising solutions. And in finding ways to express your conclusions in down-to-earth examples from personal experience.

You do need to be the captain of your ship, separate from the mass of people - and to enjoy the rewards of success as well as the symbols of prestige that inspire the achievement of life goals. You may feel an attraction to things that have lasted for a long time – well-aged single-malt whisky can be one example, a tendency to align yourself with the local political and social establishment another.

You are particularly aware of the importance of inter-personal communications. Socially you feel most at ease with individuals who share your Control priority, but on some level you may need a more caring and protective antidote to the stress and suppression involved in your drive toward success.


ยังมีบุคลิกอื่นๆ อีก ในเว็บเค้าจะมี pdf เอกสารเกี่ยวกับแต่ละลักษณะด้วย (To learn more about the 4Cs segmentation, click here to download our booklet.)

เอารูปตัวอย่างมาเป็น sample ให้ดูว่าในเอกสารมีอะไร
เราเป็นพวกกลาง ๆ นะเนี่ย 555

Chalermchai Kositpipat @ iGoogle

ใครที่้ใช้ iGoogle อยู่ ก็คงจะรู้ว่า สมาระปรับเปลี่ยนหน้าตาได้
พึ่งจะเห็นว่ามีเมนู ใหม่ขึ้นมา ว่าให้สามารถเปลี่ยนหน้าตาเป็นของศิลปินแต่ละคนได้
กดเข้าไปก็เจอ ผลงานนของศิลปินชื่อดังหลาย ๆ คน

แต่ที่แปลกใจคือมีผลงานคนไทยด้วย 55555
เป็นผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย 

แปลกดี .... เลยเปลี่ยน iG เราเป็นของอาจารย์เฉลิมชัยมั่ง 555

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

30 Skills Every IT Person Needs

It was an interesting read and made me realize I could be more well-rounded than I am. To be honest, we all could be.So in the spirit of personal growth, I'll developed a list of skills every IT person should have.

1. Be able to fix basic PC issues. These can be how to map a printer, back up files, or add a network card. You don't need to be an expert and understand how to overclock a CPU or hack the registry, but if you work in IT, people expect you to be able to do some things.

2. Work the help desk. Everyone, from the CIO to the senior architect, should be able to sit down at the help desk and answer the phones. Not only will you gain a new appreciation for the folks on the phones, but you will also teach them more about your process and avoid escalations in the future.

3. Do public speaking. At least once, you should present a topic to your peers. It can be as simple as a five-minute tutorial on how IM works, but being able to explain something and being comfortable enough to talk in front of a crowd is a skill you need to have. If you are nervous, partner with someone who is good at it, or do a roundtable. This way, if you get flustered, someone is there to cover for you.

4. Train someone. The best way to learn is to teach.

5. Listen more than you speak. I very rarely say something I didn't already know, but I often hear other people say things and think, "Darn, I wish I knew that last week."

6. Know basic networking. Whether you are a network engineer, a help desk technician, a business analyst, or a system administrator, you need to understand how networks work and simple troubleshooting. You should understand DNS and how to check it, as well as how to ping and trace-route machines.

7. Know basic system administration. Understand file permissions, access levels, and why machines talk to the domain controllers. You don't need to be an expert, but knowing the basics will avoid many headaches down the road.

8. Know how to take a network trace. Everyone in IT should be able to fire up wireshark, netmon, snoop, or some basic network capturing tool. You don't need to understand everything in it, but you should be able to capture it to send to a network engineer to examine.

9. Know the difference between latency and bandwidth.Latency is the amount of time to get a packet back and forth; bandwidth is the maximum amount of data a link can carry. They are related, but different. A link with high-bandwidth utilization can cause latency to go higher, but if the link isn't full, adding more bandwidth can't reduce latency.

10. Script. Everyone should be able to throw a script together to get quick results. That doesn't mean you're a programmer. Real programmers put in error messages, look for abnormal behavior, and document. You don't need to do that, but you should be able to put something together to remove lines, send e-mail, or copy files.

11. Back up. Before you do anything, for your own sake, back it up.

12. Test backups. If you haven't tested restoring it, it isn't really there. Trust me.

13. Document. None of the rest of us wants to have to figure out what you did. Write it down and put it in a location everyone can find. Even if it's obvious what you did or why you did it, write it down.

14. Read "The Cuckoo's Egg." I don't get a cut from Cliff Stoll (the author), but this is probably the best security book there is -- not because it is so technical, but because it isn't.

15. Work all night on a team project. No one likes to do this, but it's part of IT. Working through a hell project that requires an all-nighter to resolve stinks, but it builds very useful camaraderie by the time it is done.

16. Run cable. It looks easy, but it isn't. Plus, you will understand why installing a new server doesn't really take five minutes -- unless, of course, you just plug in both ends and let the cable fall all over the place. Don't do that -- do it right. Label all the cables (yes, both ends), and dress them nice and neat. This will save time when there's a problem because you'll be able to see what goes where.

17. You should know some energy rules of thumb. For example: A device consuming 3.5kW of electricity requires a ton of cooling to compensate for the heat. And I really do mean a ton, not merely "a lot." Note that 3.5kW is roughly what 15 to 20 fairly new 1U and 2U servers consume. One ton of cooling requires three 10-inch-round ducts to handle the air; 30 tons of air requires a duct measuring 80 by 20 inches. Thirty tons of air is a considerable amount.

18. Manage at least one project. This way, the next time the project manager asks you for a status, you'll understand why. Ideally, you will have already sent the status report because you knew it would be asked for.

19. Understand operating costs versus capital projects.Operating costs are the costs to run the business. Capital equipment is made of assets that can have their cost spread over a time period -- say, 36 months. Operating costs are sometimes better, sometimes worse. Know which one is better -- it can make a difference between a yes and no.

20. Learn the business processes. Being able to spot improvements in the way the business is run is a great technique for gaining points. You don't need to use fancy tools; just asking a few questions and using common sense will serve you well.

21. Don't be afraid to debate something you know is wrong. But also know when to stop arguing. It's a fine line between having a good idea and being a pain in the ass.

22. If you have to go to your boss with a problem, make sure you have at least one solution.

23. There is no such thing as a dumb question, so ask it ... once. Then write down the answer so that you don't have to ask it again. If you ask the same person the same question more than twice, you're an idiot (in their eyes).

24. Even if it takes you twice as long to figure something out on your own versus asking someone else, take the time to do it yourself. You'll remember it longer. If it takes more than twice as long, ask.

25. Learn how to speak without using acronyms.

26. IT managers: Listen to your people. They know more than you. If not, get rid of them and hire smarter people. If you think you are the smartest one, resign.

27. IT managers: If you know the answer, ask the right questions for someone else to get the solution; don't just give the answer. This is hard when you know what will bring the system back up quickly and everyone in the company is waiting for it, but it will pay off in the long run. After all, you won't always be available.

28. IT managers: The first time someone does something wrong, it's not a mistake -- it's a learning experience. The next time, though, give them hell. And remember: Every day is a chance for an employee to learn something else. Make sure they learn something valuable versus learning there's a better job out there.

29. IT managers: Always give people more work than you think they can handle. People will say you are unrealistic, but everyone needs something to complain about anyway, so make it easy. Plus, there's nothing worse than looking at the clock at 2 p.m. and thinking, "I've got nothing to do, but can't leave." This way, your employees won't have that dilemma.

30. IT managers: Square pegs go in square holes. If someone works well in a team but not so effectively on their own, keep them as part of a team.

ref : 30 Skills Every IT Person Needs [CIO.com]


วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ไม่ใช่หมาย ไม่ใช่คิด

เดือนนี้ติดเรื่อง การเห็นไตรลักษณ์ จริง ๆ ไม่ใช่เดือนนี้หรอก ก็ติดแต่แรก
ตอนไป พบคุณดังตฤณ ท่านก็ชี้ข้อนี้มาทีนึงแล้ว ลองปฏิบัติตามไปแล้ว
แต่ก็ยังไม่เห็นอยู่ดี(สงสััยทำไม่ถูก 555) ก็ถามเพื่อนไปแล้วว่า ทำยังไงถึงจะรู้ได้
เพื่อนก็บอกว่า ให้รู้ไปเฉย ๆ พอปัญญาแก่รอบขึ้นแล้วมันจะเห็นเอง เหมือนเป็นอีก level
แต่ก็เหมือนใจมันยังไม่ยอมรับอีกอยู่ดี  5555 ยังแอบคิดอยู่อีก
ก็แหม ติดตรงนี้มาถ้านับตั้งแต่ที่รู้ว่าติดข้อนี้นี่ก็สองเดือนครึ่งแล้วนะ
ฟังหลวงพ่อ ท่านก็ว่าถ้าถูกทางไม่เนิ่นช้านี่นา เลยสงสัยไปว่าตัวเองจะทำอะไรไม่ถูกรึเปล่า ถึงติดอยู่นาน
(เป็นพวกคิดมาก ให้ศรัทธาเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องเหตุผลตรงจริต ใจมันถึงยอมรับ 555)

ได้โอกาสก็เลยไปที่ห้องสมุดบ้านอารีย์ เดินโต๋เต๋หาหนังสือ เผื่อจะได้คำตอบให้ตัวเองบ้าง
ไปสะดุดเล่มหนึ่งเข้า "ปฏิปัตติปฺจฉาวิสัชนา" ของ พระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธโล) vs หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร
เป็นถามตอบข้อปฏิบัติ เลยหยิบมาอ่านดู เปิดไปก็เจอ


Q. วิธีสังเกตอาการขันธ์ ที่สิ้นไป เสื่อมไปนั้น หมายเอาหรือคิดเอา
A. หมายเอาก็เป็นสัญญา คิดเอาก็เป็นเจตนา เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมาย ไม่ใช่คิด
ต้องเข้าไปเห็นความจริง ที่ปรากฏเฉพาะหน้า ถึงจะเป็นปัญญาได้

Q. ถ้าเช่นนั้นจะดูความสิ้นไปเสื่อมไปของขันธ์ มิต้องตั้งพิธีทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราหรือ
A. ถ้ายังไม่เคยเห็นความจริง ก็ต้องตั้งพิธีเช่นนี้ร่ำไป
ถ้าเคยเห็นความจริงเสียแล้วก็ไม่ต้องตั้งพิธีทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราวก็ได้ แต่พอมีสติขึ้น
ความจริงก็ปรากฏเพราะเคยเห็นแลรู้จักความจริงเสียแล้ว เมื่อมีสติรู้ตัวขึ้นมาเวลาใด
ก็เป็นสมถวิปัสสนากำกับกันไปทุกคราว


โอว ... โดน ... แจ่มแจ้งแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่างกับที่เพื่อนบอกเท่าไหร่
แต่ว่าอ่านแล้ว มันเข้าใจ ใจมันยอมรับได้ขึ้นมาซะงั้น 5555
พอจะรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งต่อไป จะไปทางไหนยังไง ...  จิตตื่นขึ้นมาอีกนิดนึง

ขอบพระคุณบ้านอารีย์กับหนังสือเล่มนี้มาก ๆ

ปล. จริง ๆ หนังสือเล่มนี้เนื้อหาดีมาก อ่านแล้วได้อะไรหลายอย่าง แต่ด้วยความเข้มข้น
ของเนื้อหา หนังสือเล่มบาง ๆ นี่ ใช้เวลาอ่านนานมาก ๆ กว่าจะเข้าใจแต่ละย่อหน้า แต่ละบรรทัดได้
อ่านไปได้ ซํกครึ่งเล่มก็ยอมแพ้ 5555 หลัง ๆ เริ่มเข้มข้นขึ้น ภูมิธรรมเราไม่ถึงพอจะเข้าใจแจ่มแจ้ง
เอาไว้เข้าใจอะไรมากขึ้นกว่านี้จะกลับไปอ่านใหม่ คงอ่านไ้ด้มากหน้าขึ้นกว่าเดิม 555 
แนะนำมาก ๆ เล่มนี้ เล่มสีเหลืองๆ อยู่ชั้นแนะนำของห้องสมุดบ้านอารีย์ 

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ย้อนอดีตเว็บ

เนื่องด้วย วันเกิดครบ 10 ปี ของ google ที่พึ่งผ่านไป ทาง google ก็เลยเปิดให้ใช้งานส่วนค้นหาสำหรับค้นหาผลลัพธ์ของเมื่อปี 2001ซึ่งก็แปลกดี ลองไปค้นหาคำประหลาด ๆ ที่สมัยนี้ใช้กัน ก็ดูเหมือนสมัยก่อนจะยังไม่มีซะมาก แล้วถ้ากดที่ด้านล่างของผลลัพธ์ มันจะมี link เพื่อให้ดูหน้าเว็บนั้น ๆ ในอดีตได้ด้วย 

"early 2001. "iPod" did not refer to a music player, "youtube" was nonsense, and if you were looking for "Michael Phelps," chances are you meant the scientist, not the swimmer. "Wikipedia" was brand new. Remember "hanging chads"? (And speaking of that election-specific reference"
via : Google official blog

"จากการค้นของผม “blognone” - 0 result, “คลิป” - 1,100 results โดยส่วนใหญ่มีความหมายว่า “ที่หนีบกระดาษ” หรือ “คลิปอาร์ต” (ในขณะที่ตอนนี้ได้ประมาณ 20 ล้านอันที่แทบจะไม่เกี่ยวกับที่หนีบกระดาษเลย)"
via : Blognone

ผมลองค้นหา "sanook" ดู ผลลัพธ์ที่ได้คือ หน้าตาเว็บสนุกตอนปี 2001 ลองคลิกเข้าไปดูแล้วก็แอบเจ็บใจ สมัยนั้น ผมดูถูกเว็บประเภทนี้ หน้าตายังงี้ ว่าเป็นเว็บไร้ความคิด นึกไม่ออกแล้วว่าจะทำอะไร ก็เลยทำเว็บไว้เอา link ไปเว็บคนอื่นมารวม ๆ กันไว้ แล้วก็แอบยัด ๆ ข่าวจากเว็บอื่น ๆ เข้าไปให้ดูดี ผ่านมา 7 ปี สนุกไม่ได้ก้าวไปจากจุดแรกไกลนัก แต่กลายมาเป็นเว็บที่คนเข้ามากที่สุด(สถิติ truehit)ในปัจจุบัน ไปซะแล้ว (จริง ๆ อันดับสอง kapook เมื่อก่อนก็หน้าตาพอ ๆ กัน http://web.archive.org/web/20010119102400/http://www.kapook.com/) 

55555 อัตตาเยอะมาก ก็เลยพลาดโอกาสดี ๆ ไปซะได้ 5555

ใครสนใจอยากลองย้อนอดีตดู ก็เข้าไปที่ http://www.google.com/search2001.html

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

How will I die?

เห็น Ka-Tsu เล่นเลยเอามาเล่นมั่ง

ของเราได้นอนตายเฉย ๆ แฮะ สบายดีเหมือนกัน 5555

แต่อันที่ 2 กับ 3 นี่ ขัดกันอย่างแรง อันนึงเหงาตาย แต่อีกอันตายตอนมี Sex 

55555555

How will I die?
Your Result: You will die in your sleep.

A peaceful departure into the next life. You are blessed with the good fortune of passing from sleep into eternity. Do not fear sleep. To dream into the next life is a rare gift.

You will die of boredom.
You will die while having sex.
You will die while saving someone's life.
You will die in a car accident.
You will die from a terminal illness.
You will die in a nuclear holocaust.
You will be murdered.
How will I die?
Quiz Created on GoToQuiz

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

เหมือนไร้อารมณ์

วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็มานั่งคุยเล่นกันกับพี่ที่บริษัท

แอบสะดุดคำนึงของพี่เค้า

"ตอนแรกผมก็ดูอยู่นะ

ว่ายูนิ่ง ๆ มีอะไรก็นิ่ง ๆ

จนผมคิดว่า

ยูมีอารมณ์ความรู้สึกรึเปล่าวะ

พอมาได้คุยผมถึงเข้าใจ"



แอบแปลกใจ พึ่งเคยโดนทักยังงี้เป็นครั้งแรก

ช่วงนี้ก็เอาแต่ดูจิต อารมณ์เกิด เห็นก็ดับ เกิด เห็นก็ดับ

ก็เลยไม่ค่อยจะได้แสดงอารมณ์ออกมาทางกาย

ว่าง่าย ๆ ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึก ต่อสิ่งเร้าภายนอก 

แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่อง วิธีที่คนอื่นมองเราอะ 

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่แสดงออกอะไรเลย อย่างเค้าเล่นมุขมาขำ ๆ 

ถ้าคนอื่นหัวเราะกันมาก ๆ ถึงเราจะไม่ได้หัวเราะ แต่อย่างน้อยเราก็ยิ้มตามนะ

ไม่ได้ถึงกับนิ่งอยุ่เฉย ๆ ... แต่สงสัยคงไม่พอ




แอบบ่น เฉย ๆ ครับ ตกใจกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา 

เมื่อก่อน ออกจะเป็นแบบ active + aggressive ซะด้วยซ้ำ

นี่กลายเป็นตัว นิ่งๆ เซื่องๆ  ไปซะแล้วเหรอเนี่ย ไม่ดีนะเนี่ย

(ไม่ชอบก็รู้ว่าไม่ชอบ 5555 )

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

ความสามารถกับกระดาษ

พึ่งได้อ่านหนังสือที่ดีมาก ๆ เล่มหนึ่งชื่อ "พลิกชีวิต จากหายนะสู่ความสำเร็จ"
ถ้าผมไม่รู้จักคุณ สมคิด ลวางกูล ,ผู้เขียน, มาก่อน ผมก็คงจะมองข้ามหนังสือเล่มนี้ไป
เผลอ ๆ จะคิดไปว่าเป็นหนังสือเขียนมาช่วยปลดหนี้ด้วยซ้ำ 
แต่นี่สมคิดเขียน ยังไงก็ต้องลองซื้อมาอ่านซะหน่อย
ก็ไม่ผิดหวังเลย กับเนื้อหา และสำนวน ... อ่านแล้วไฟลุกท่วมหัวเลย
เป็นหนังสืออีกเล่มที่อยากให้เค้าจัดไว้ในแบบเรียนของคนไทย
แนะนำให้ไปลองหาอ่านกันดูครับ เล่มนี้แนะนำมาก ๆ
มีเพื่อนผมคนนึง เป็นคนที่เรีียนเก่งมาก ๆ
ครั้งนึงตอนมันดู persuite of happiness มันบอกว่า 
ดูแล้วโคตรเศร้า ตอนพระเอกมันบอกว่า ผมเรียนเก่งมาก 
ได้คะแนนดีตลอด แต่ในชีวิตจริง ของเหล่านั้นมันไม่มีค่าอะไรเลย
ผมก็แปลกใจเหมือนกันตอนแรก ... "มึงพึ่งรู้เหรอวะ"
มาอ่านในหนังสือของสมคิดแล้วถึงอ๋อ
จริง ๆ มันก็เหตุผลสุดแสนจะง่ายที่ใคร ๆ ก็รู้นั่นแหละว่าทำไมคนไทยอยากเรียนเ่ก่ง
ในหนังสือหน้า 310 เขียนไว้ว่า
"ผมบริหารงานจนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ได้เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนทุก 6 เดือน
ฝรั่งไม่เคยถามผมซักคำว่า 
ผมเรียนจบอะไรมา
มันถามแต่ว่า
มึงทำอะไรได้ ... มึงจะทำประโยชน์ให้กูได้เท่าไหร่
แล้วให้โอกาส ให้ทดลองทำ ...
ถ้าทำได้ อาทิตย์เดียวประกาศเลื่อนตำแหน่ง...ขึ้นเงินเดือน


เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยเห็นในเมืองไทย"

เออจริงของมัน 22 ปีที่อยู่กับระบบการศึกษาไทยกับชีวิตหลังจบที่ทำงานในประเทศนี้
... พิสูจน์ข้อนี้ชัดเจน

ฝูงช้างแอฟริกา แบบชัดสุดยอด

ไม่น่าเชื่อเลยว่า google maps จะแอบไปซ่อนอะไรแบบนี้ไว้ด้วย

ใครอยากรู้่วาผมหมายถึงอะไร ลองเข้าไปที่ http://maps.google.com

แล้วจากนั้นค้นหาคำว่า "10.903764, 19.935052" (ในช่องค้นหา ไม่ต้องใส่ "")

แล้วซูมเข้าไปจนสุดเลย ความชัดแบบสุด ๆ เลย

จะเห็นฝูงช้างแบบ ชัดสุดยอด .... มันถ่ายไว้แค่จึ๋งเดียว

ลองดูครับ ... ภาพแปลก ๆ จาก google maps

ref : ที่มาของภาพจาก national geographic

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

รัก กับ ชอบ







" ... เราชอบคนที่ความเก่งกาจ 
แต่เรารักคนที่ข้อบกพร่อง... "



เคยมีคนพูดเอาไว้
จริงรึเปล่านะ

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

"ธรรมะ" และ "ทำไม" ในโรงพยาบาล

นานทีกว่าจะต้องได้ไปโรงพยาบาล จำไม่ได้แล้วเสียด้วย ว่าครั้งสุดท้ายที่ต้องไปโรงพยาบาลในฐานะคนไข้นี่มันเมื่อไหร่กัน
คงจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยป่วย ไม่ก็เป็นความคิดพิลึกของผมเองที่ว่า ถ้าเราให้คนอื่นรักษา
ร่างกายเรามันก็จะอ่อนแอลง การไม่ไปหาหมอ ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเพราะมันจะได้ชินกับการรักษาตัวเอง
อีกอย่าง ถ้ามันป่วยหนักจะตายจริง ๆ ก็คงปล่อย ๆ มันตายไปแหละ ไม่อยากให้ใครมายื้อชีวิตไว้ ... เหนื่อย
ก็เลยแทบจะไม่ได้ใช้บริการโรงพยาบาลเอาเสียเลย ตอนไปเป็นเพื่อนคนอื่นก็ไม่เท่าหร่นะ 
ดูเฉย ๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเป็นพิเศษ แต่คราวนี้พอต้องเข้าโรงพยาบาลในฐานะ ผู้ใช้บริการ

ดูอะไร ๆ มันก็แปลกตาไปหมด 

ส่วนนึง อาจจะมาจากมุมมองที่เรามีให้กับโลกนี้มันต่างไปด้วยหละมั๊ง

บังเอิญต้องไปตรวจสุขภาพครบเซ็ตที่โรงพยาบาล มองทางไหนก็เห็นแต่คนป่าวย
ดูไม่มีใครมีความสุขที่นี่เท่าไหร่ เข้าไปในโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ
รู้สึกถึงแต่ ความป่วย ความเจ็บความตาย ... เหมือนตัวเองจะป่วยขึ้นมาเลย ... เหอะ ๆ

นั่งรอซักพัก ก็ได้กระดาษมาปึกนึง เป็นรายการที่ต้องไปตรวจ เหมือนเล่นหา RC เลย

ด่านแรกนี่เค้าให้ตรวจฉี่ งานที่เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่"ทำไม"มันจะเป็นเรื่องยากมาก ๆ เลย
ก็ไอ้กระบอกนั่นมันโคตรจะเล็กเลยอะ ยากนะไอ้การจะเล็งไปที่เล็ก ๆ แล้วปล่อยแล้วต้องหยุดเนี่ย
กว่าจะบรรจุกระบอก แบบไม่ให้เปื้อนได้เนี่ย ... ใช้ทักษะน่าดู

แล้วก็ไปเจาะเลือดต่อ เคยคิดนะว่าตัวเองไม่กลัวเข็ม เพราะเคยโดนหมางายไปทีนึง
ต้องไปโรงพยาบาลให้หมอ จิ้มทุกวันอยู่เป็นอาทิตย์เลย ก็เลยฉย ๆ กับเข็มซะละ
แต่พอมาจาะเลือดนี่ มันมาเจาะที่แขนอะ เหมือนมาเจาะให้เราดูใกล้ๆ 
พยาบาลก็เอามืือมาจับ ๆ เข็มก็เล่มใหญ่ ๆ 
พยาบาลทำท่าลังเล ๆ ด้วยอีก จิตเกิดเลย เหอะ ๆ ๆ ๆ
ความกลัว ความกังวล ความปรุงแต่ง มากันไม่ขาดเลย 
เห็นขึ้นมาชัด ๆ เลยว่า ตัวเอง คิดปรุงแต่งไปสารพัด เข็มใหญ่จัง จะเจ็บมั๊ย
จะปวดมั๊ย จะกลัวมั๊ย โดนจิ้มแล้วหมดจอดูดเลือดไปเยอะมั๊ย เห็นเลือดแล้วจะกลัวมั๊ย
ก็คิดไปเยอะแยะอะนะ พอหมอจะจิ้มเข้าจริง ๆ ก็หายใจเข้าไปปื๊ดใหญ่ๆ 
ดูเหมือน ความคิดฟุ้งซ่านมันก็หายไปหมด ... สตินี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
ก็เลยตั้งใจไว้ว่า จะกลัวรึจะเจ็บ ก็เอาไว้ก่อนละกัน เอาไว้ให้เค้าจิ้มเสร็จก่อนค่อยว่ากัน
คิดได้งั้นก็ใจโล่ง ๆ ขึ้นมาเลย แต่เสียตรงที่เอาจิตไปจับอยู่ที่ปลายเข็มนี่สิ
เหมือนจะเห็นเข็มอันใหญ่ขึ้น เห็นล้วงลึกเข้าไปตามรูเข็มเลย
พอมันจิ้มปุ๊ป ความรู้สึกก็ไวขึ้นอีกมาก แอบกลัวเจ็บขึ้นมาอีก ก็เลยเอาใจไปไว้ที่อื่นแทน
เคยฟังหลวงพ่ออำนาจว่าตอนท่านผ่าตัด ท่านก็เอาใจไปไว้ไกล ๆ ผลแล้วได้ผล
ก็ัยังมองแขนอยู่อะนะ อยากจำภาพไว้ได้ว่า เวลาโดนจิ้มมันเป็นยังไง
แต่เอาใจไปนึกเหมือนตอนเวลาที่นอนทับแขน ที่มันเป็นแขนเราเอง แต่เราไม่รู้สึกอะไรเลย
พอจะจำไอ้ความรู้สึกแบบนั้นได้บ้าง ก็เลยเอามาใช้ตอนนี้ซะเลย ทำเหมือนนี่ไม่ใช่แขนเรา 
(ก็ยังเจ็บอยู่ดี แต่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เหอะ ๆ) 

ปลายเข็มแหลมๆ ค่อย ๆ แหวกเนื้อเราเข้าไป จากปลายเข็มเล็ก ๆ ที่สัมผัสเนื้อ มันค่อย ๆ ชอนลึกเข้าไป
ผ่านผิว ผ่านเข้าไปถึงหลอดเลือด รู้สึกจึ๊กเล็ก ๆ ขึ้นมา เหมือนมันไปถึงหลอดเลือดแล้ว
แล้วพยาบาลก็ค่อย ๆ ดึงหลอดขึ้นมา เลือดข้น ๆ ไหลเข้าไปในเข็มเรื่อย ๆ
ดึงขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ดึงจะสุดหลดเข็มเลย เพราะต้องเอาเลือดไปตรวจสามอย่าง 
ก็เลยต้องดูดเลือดไปพอใส่ใน tube ได้สามอัน
แล้วก็ค่อย ๆ ดึงเข็มออกจากแขน เหลือรูเล็ก ๆ ไว้ให้ระทึกนิดหน่อย ... ตื่นเต้นดี
สุดท้าย สัญญามากมายที่เกิดไปตอนแรก มันก็งั้น ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดซักหน่อย 
มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ

ไปอีกซักนิด ก็ไปนั่งรอ X-Ray มีลุง ๆ ป้า ๆ มานั่งรอกันจนเต็ม 
ที่ห้องเดียวกับห้องที่เราไปนั่ง มีคุณยายคนนึงนั่งอยู่ ดูท่าจะกำลังจะเปลี่ยนชุด 
( ผู้หญิงต้องเปลี่ยนชุดเวลาจะ X-Ray ) 
คุณยาย ค่อย ๆ พยายามพยุงตัวขึ้นมา เกาะไปตามผนังเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อ
ดูท่านขยับแล้วเหมือนต้องเค้น พลังชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อมาใช้ในการขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ 
ร่างกายที่เราใช้อยู่ทุกวัน ไม่เคยคิดเลยว่า ซักวันนึง มันจะกลายเป็นก้อนหนักขนาดนี้ได้
ผมรู้นะ ว่าซักวันเราต้องแก่ และคิดอยู่เสมอว่า ความแก่ไล่ล่ามาทุกที 
แต่ไม่เคยรู้สึกมากเท่านี้ ว่าชีวิตนี้ ร่างกายนี้เป็นเรื่องยาก เป็นของหนัก 
นึกภาพออกเลยว่าซักวันถ้าเราอายุเท่าเค้ามันจะเป็นยังไง 
นี่ขนาดคุณยายตัวนิดเดียวยังต้องเค้นแรงขนาดนั้น แล้วตัวขนาดเราเนี่ย ... คงต้องเอาชิ้นส่วนหุ่นมาเสริม
เห็นแล้วก็ปลง ๆ พอเริ่มมีความรู้ทางธรรมบ้างการดูคนแก่มาก ๆ ก็ทำให้เข้าใจชีวิตขึ้นเยอะ 

แล้วก็เสร้จผลตรวจโรค ผลที่ได้ออกมาดูจะเป็นอะไรที่น่าแปลกใจ 
เพราะผมค่อนข้างจะใช้ชีวิต แบบไม่คิดว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงซักเท่าไหร่
อยากกินอะไรก็กิน เที่ยวหนัก ดื่มหนัก หักโหม มีอะไรให้เราลอง ก็อยากจะลองไปหมด 
แถมสมัยเรียน ก็มีอาการไม่ค่อยดีบ่อย ๆ กระเพราะบ้าง หน้ามืดบ้าง เจ็บหัวใจบ้าง
อย่างน้อยสภาพเครื่องในก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พึ่งจะมางดเที่ยว งดดื่มก็แค่ไม่กี่ิเดือนมานี่เอง
แต่ผลการตรวจกลับออกมาดูีดีจนน่าแปลกใจ ผลทุกอย่างอยู่ในในระดับมาตรฐาน 
ออกจะเป็นคนสุขภาดีซะด้วยซ้ำ ที่น่าแปลกใจก็คือ แม้แต่ คลอเรสตอรอล กับระดับน้ำตาล ก็ยังอยู่
ในระดับปกติด้วยนี่สิ ออกจะแปลกใจาก เพราะอาหารที่เราชอบนี่ แหล่งคลอเรสตอรอลทั้งนั้น
ก็ดี สุขภาพดี จะได้อยู่ดูโลกให้นานขึ้นอีกซักหน่อย

แต่ที่เด็ดสุดของประสบการณ์ในโรงพยาบาลก็คือ ปรอท
ปรอทธรรมดาๆ ที่เราเคยเอาจิ้มตูดตอนเด็ก ๆ และจิ้มปากตอนโตนี่แหละ
เคยได้ยินเหล่าผู้ปฏิบัติธรรมที่สอนได้อย่างห้าวหาญ พูดให้ฟังบ่อย ๆ นะว่า
"ถึงจุด ๆ นึงเราจะเห็นได้เลยว่า แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นความสุขมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน"
ตอนได้ฟังเราก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจนะ แต่พึ่งจะมาเข้าใจว่าที่เราคิดว่ารู้อะ มันก็ไม่ได้รู้จริง ๆ หรอก
เพราะเมื่อก่อนเราคิดว่า ที่สุขมันก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งเหมือนกัน คงเป็นเพราะถึงแม้จะสุขมาก
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นไม่อยุด ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นเฉย ๆ ก็คงจะเปลี่ยนกลายเป็นทุกข์ไป เหมือนเกาที่คัน
เกามากก็แสบแต่ก็ยังอยากเกาอีกอยู่ดี ซึ่งไอ้ยังงี้มันก็ยังเป็นการแยกสุขแยกทุกข์อยู่ดี 
ไม่ได้มองเห็นว่าสุขกับทุกข์มันเป็นเรื่องเดียวกันซักหน่อย 
แล้วที่มาอ๋อเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเห็นความจริงแล้วว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันหรอก
แต่ที่รู้ขึ้นมาได้ ก็เป็นเพราะคุณปรอทนี่แหละ เอ๊ะ ไม่เรียกว่ารู้สิ แค่รู้ว่า ถ้ารู้ควรจะรู้ยังไงต่างหาก
คือไปยืนดูปรอทแล้วมันก็นึกขึ้นมาได้ 
ว่าปรอทนี่มันทำงานได้ด้วยความร้อน อากาศร้อนน้อย มัก็ลงต่ำ ร้อนมากมันก็ขึ้นสูง
ตัวมันเองก็ไม่ได้ร้อนไม่ได้เย็น มันก็แค่บอกว่ามีควมร้อนแค่ไหน
ที่มันร้อนหรือมันเย็นขึ้นมานี่ มันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก 
เราเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเองว่า มันร้อน หรือมันเย็น
ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่าที่เราคุ้นเคย เราก็คงคิดว่าเย็น และร้อนในทางกลับกัน
เป็นเราต่างหากที่ไปกำหนดมันเอาเอง เป็นเราต่างหากที่ เกิดสัญญากับมัน
พอปิ๊งยังงี้ขึ้นมาก็เลย นึกโยงไปถึงเรื่องทุกข์ได้
เออแฮะ ทุกข์มันก็คล้าย ๆ กันนี่นา
ไอ้สุขกับทุกข์ นี่มันก็คงเหมือนร้อนกับเย็นที่เราคิดไปเองนั่นแหละ
จริง ๆ ตัวมันก็เป็นของมันอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าที่มันเป็นอย่างนั้น มันสุขหรือทุกข์
แต่มันก็เปลี่ยนไปด้วยความมากน้อย แต่ก็ด้วยดัชนีชี้วัดเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน
ก็เลยพึ่งมาอ๋อตรงนี้ว่า ไอ้เรื่องแนวคิดเกี่ยวกับสุขทุกข์ของเรานี่ ที่เราไม่เข้าใจ เพราะมันมีสัญญา
ของเราเองเข้ามาคั่นนี่เอง เราไม่ได้รู้สึกอย่างที่มันเป็น แต่มันมีความชอบความชังเข้ามาด้วย
พอเห็นยังงี้แล้ว กลับมาก็เลยฟังเทปหลวงพ่อปราโมทย์เก่า ๆ อีกรอบ 
เทปเดิม คำเดิม เรื่องเดิม แต่ความเข้าใจที่แตกต่าง
ดูเหมือนคำพูดที่เราคิดว่าเราเข้าใจและไม่เข้าใจตอนนั้น พอตอนนี้มาฟังอีกครั้ง
มันก็เกิดความเข้าใจที่แตกต่างไป สิ่งเดิม ๆ แต่ให้ความรู้ที่แตกต่าง 
ตอนนี้ก็เลยพอจะรู้ขึ้นมาบ้างละว่า ถ้ามันจะเข้าใจขึ้นมา มันจะเข้าใจแบบไหน
( เอ๊ะ แต่อันนี้ก็เหมือนเกิดสัญญาอันใหม่ขึ้นมาในใจอีกอันนี่นา -*- )

เอาเป็นว่า ก็ต้องขอบคุณปรอท ขอบคุณโรงพยาบาล ขอบคุณเข็มฉีดยา ขอบคุณคุณยาย และหมอกับพยาบาลด้วย ที่ช่วยเปลี่ยนกะลาอันใหม่ ... ที่ใหญ่ขึ้นให้

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นำพา

คานธีกล่าวไว้ว่า

"ใช้ความรุนแรง

ถ้ามีความรุนแรงอยู่ในใจเรา

ยังดีกว่าปิดบังความอ่อนแอ

ด้วยความไม่รุนแรง"

และคานธียังกล่าวอีกว่า

"ผมคัดค้านความรุนแรง

เพราะแม้มันเหมือนจะทำดี

ความดีนั้นคงอยู่แค่ชั่วคราว

ความเลวร้ายที่มันนำมา

คงอยู่อย่าง ... ถาวร"

วิธีอหิงสาที่คานธีใช้  หรือที่เดี๋ยวนี้บ้านเราใช้คำว่าอริยะขัดขืน

คือการชุมนุมการอย่างสงบ ในที่อันสงบ

ไม่มีอาวุธใด ๆ  ไม่ต้องปลุกเร้า ไม่ต้องบุกรุก  แค่ทุกคนร่วมใจกัน นั่งนิ่ง

แล้วทำไมมันถึงจะได้ผล?

ก็เพราะการแก้ปัญหานั้น ใช้แก้ปัญหาที่ทุกคนเห็นร่วมกัน 

เมื่อทุกคนพร้อมใจกันที่จะหยุด ... จึงไม่มีอำนาจใดทำลายความนิ่งนี้ได้

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แอบเขียนบ้าง ดูข่าวแล้วคันมือ

วันนี้เก็บตัวอยู่เงียบ ๆ นั่งดูข่าว

ขณะที่เพื่อนร่วมชาติกำลัยกเรื่องอดีต มาต่อสู้ตามความเชื่อของแต่ละคนในวิถีแตกต่างกัน ในขณะนี้

เราก็มาแอบนั่งนึกถึงว่า ถ้าเหตุการณ์นี้มันจบลง ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน แล้วอะไรจะเหลือให้ประเทศบ้างเนี่ย

ภาพใกล้ ๆ ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเกิดผลกระทบด้านไหนบ้าง

แต่ดูข่าวไปแล้วนึกถึงคำพูดของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร

คุณวิกรม พูดถึงประสิทธิภาพของผู้นำแต่ละประเทศ

สิงคโปร์ไม่ต้องพูดถึง ไปไกลมากแล้ว ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อสองสามปีก่อนผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ

ประธานสโมสรนักศึกษาของหลาย ๆ สถาบันที่นั่น ผมถามเค้าว่า อะไรทำให้เค้าอยากมาทำงานที่ตรงนี้

เค้าตอบคล้าย ๆ กันว่าก้าวต่อไปของพวกเค้าคือต้องเป็น ผู้บริหารประเทศนี้ หรือเป็นประธานบริษัทชั้นนำ

นี่คือวิสัยทัศน์ ของระดับแกนนำนักศึกษา เค้ามองถึงระดับประเทศ

คุณวิกรมก็พูดถึงลีกวนยู ว่าเค้าเป็นนักเรียนรู้ ระดับพวกผู้บริหารประเทศคือนักสร้างสรรค์

เวียดนามก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางของผู้นำ

คุณวิกรมทายว่าถ้าผู้นำเรายังมีแต่พวกที่คิดว่าตัวเองฉลาดมากแล้ว

และไม่ยอมฟังใคร อีกไม่นานประเทศนี้จะเป็นได้เพียงประเทศผู้บริโภค และส่งออกแรงงานราคาถูก

ทั้ง ๆ ที่จากประสบการณ์ของคุณวิกรมเอง เล่าว่า ชาวต่างชาติที่จ้างงานคนไทย งานเค้าออกมาประสบผลสำเร็จ

เพราะคนไทยเป็น partner ที่ดี แต่ต้องเป็นคนไทยที่มีระบบระเบียบ งานเค้าจะออกมาดีมาก

นั่นเพราะคนไทย เป็นคนฉลาด เมื่อได้ผู้นำที่ดี ประเทศนี้ไม่เคย แพ้ใคร

ย้อนกลับมาเหตุการณ์นี้ มีจุดจบอยู่สองทาง รัฐบาลทำงานต่อ กับเปลี่ยนรัฐบาล

ไม่ว่ามันจะจบทางไหน ผู้นำที่เหลืออยู่ หรือ ผู้นำที่จะมาเป็นคนต่อไป

คนไทยเล็ง ๆ กันไว้บ้างหรือยัง ใครคือจะเป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศนี้กันหว่า

ไอ้ที่เหลือ ๆ อยู่นี่มีใครแกร่งพอจะกู้ประเทศ ปอน ๆ นี้ขึ้นมาบ้างรึเปล่า

แล้วเรายังมี เงื่อนไขอีกอย่าง "ไม่โกง" 

ขี้เกียจตรวจสอบหรือไร คุณสมบัติข้ออื่นไม่ว่ากัน ขอดูก่อนว่าโกงไม่โกง

แต่ถ้าเก่งไม่พอ ก็คงยากที่จะบริหารประเทศนี้ให้ดีได้

คนที่ผุด ๆ ขึ้นมาในใจ

.....

ใครวะ

....

นึกไม่ออก

ชวนให้คิดต่อไปอีกว่า คนแบบไหนกันที่จะมาเป็นนายก หรือจะเป็นนายกได้

ถ้าต้องรู้จักคนใน ต้องสังกัดพรรค ต้องฝึกงาน กับเหล่านักการเมืองผ่านศึก เขี้ยวลาก

เค้าจะยังหลุดมาเป็นคนดี ๆ อุดมการณ์แรง ๆ เหมือนเดิมอยู่รึเปล่า

สวัสดีประเทศไทย ... หึ ๆ

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข้อคิดดี ๆ ในการปฏิบัติ

- "ลองอีกครั้ง พลาดอีกครั้ง แต่พลาดแบบฉลาดขึ้น"
( Ever tried. Ever failed. No matter. Try again. Fail again. Fail better. : Samuel Beckett )

- "อย่าพยายาม ทำเลย หรือไม่ก็ไม่ต้องทำ"
( Do, or do not. There is no 'try. : Jedi Master Yoda )

- "ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้  ... รู้มากทาไม"  ( จี้กง )

- "เราหลุดจากวันวานไม่สำเร็จ เพียงเพราะมองวันวานเป็นวันนี้ " ( ดังตฤณ )

ข้อคิดดี ๆ ในการปฏิบัติ

ลองอีกครั้ง

พลาดอีกครั้ง

แต่พลาดแบบฉลาดขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อยู่หรือตาย

คุณสมบัติของ มหาบุรุษ

คือเค้าอยู่มายังไง

แต่คุณสมบัติของ วีรบุรุษ

คือ เค้าตายยังไง


วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แม่มด

ไปได้มาจาก fwd mail พึ่งจะมีโอกาสได้เอามาลง ลองอ่านกันดู

นิทานเรื่อง....เเม่มด ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน ดีมาก ๆ ...อ่านให้จบนะ 
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว.....
อาเธอร์ถูกจับและจะประหารชีวิต
แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ
ถ้าหากเขาสามารถตอบ
ปัญหาแสนยากข้อหนึ่ง ได้ถูกต้อง

อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้
เขาก็จะถูกประหาร 'คำถามนั้นคือ ....
สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ?'

ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง
เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและ
เริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน
แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้
คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่
ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ
แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง

แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง
อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น


แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน
นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน
อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของ
เหล่าอัศวินโต๊ะกลม
และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์

อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ
เพราะยายแก่หลังโกงเหม็นก็เหม็น
มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนถังส้วม
ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ
เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน

ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้น เขายอมแต่งงาน
เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม

และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์
'สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง'
ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่
และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริง


แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ
กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม
ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช

ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งตด
ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด และ
แล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง

กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยองเขาก้าวเขาสู่ห้องนอนวิวาห์
ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!!
หญิงสาวแสนสวยที่สุดที่
เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า
กาเวนงุนงง ???? สาวแสนสวยเฉลยว่า

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน (เมื่อยามเป็นแม่มด)
ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่า
รังเกียจส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้

กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน?

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!! กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง
หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง
แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด?

หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน
แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี??
เป็นคุณหล่ะ
คุณจะเลือกอย่างไร ???
(กรุณาหยุดคิดสักนิดเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ค่อย scroll ลงไปอ่านนะ )





























เอาละ..


เมื่อได้คำตอบของคุณแล้ว
อ่านคำตอบของกาเวนที่อยู่
ข้างล่างนี้ กาเวนตอบว่า
'เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง'
เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอ
จึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา
เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...

1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด
2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่

นั้นขึ้นอยู่กับ ความประพฤติของผู้ชาย

-------------------------------------------------------------------------------------------------

เนื้อเรื่องเค้าเขียนดีนะ ช่วยแสดงออกให้เห็นทั้งความมักมาก และความเห็นแก่ตัวของทั้งหญิงและชาย

เคยได้ฟังนิทานคติธรรมหลายเรื่องของขุนพลกเวน แต่เรื่องนี้พึ่งจะเคยได้ยิน อยากได้ฉบับแบบยังไม่แปลจัง


วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พอจะรู้แล้วว่าทำไมพันธมิตรคนเยอะกว่านปก.

ไปอ่านเจอมาในเน็ต มันเอาสาวพันธมิตร กับสาว นปก. มาเทียบกัน

มันก็เข้าใจนำเสนอนะเนี่ย 555

ไปดูแบบเต็ม ๆ ที่นี่ http://forum.serithai.net/index.php?topic=30685.msg328168#msg328168

ตัวอย่างสาว พันธมิตร

ตัวอย่างสาว นปก.

ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษครับ เอารูปมาลงให้ดูสนุก ๆ ไม่เกี่ยวกับการเมืองแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

roach attack !!!

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางเทศบาลมาฉีดยาฆ่าแมลงแถว ๆ ที่พัก
หน้าตาเครื่องฉีกก็คล้าย ๆ ปืน gatling gun กระบอกใหญ่ ๆ
แต่ที่พ่นออกมาไม่ใช่กระสุน แต่เป็นควันมหาศาลกะเสียงกระหึ่ม
เราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เห็นมาฉีดกันอยู่บ่อย ๆ แต่กลิ่นชักจะซึม ๆ เข้ามา
ก็เลยต้องหนีไปอยู่ข้างนอกแทน
แต่พอออกมาเท่านั้นแหละ
แมลงสาบวิ่งเต็มถนนเลย
สงสัยหนีตายออกมาเหมือนกัน
บ้างก็หงายท้อง ชักกระแด่ว ๆ
บ้างก็วิ่งวนไปทั่ว
ตอนออกมาหน้าบ้านนี่ ยังเป็นในซอยย่อยอีกที
ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ (แต่ก็วิ่งกันเต็มถนนเลยอะนะ)

แต่พออกมาถึงถนนหลักของซอยนี่สิ

วิ่งกันให้รึ่ม

ใกล้ ๆ นั่นมีตลาดด้วย

คงไม่้ต้องพูดถึง

ออกมากันเป็นล้าน !!!

ยังกะงานแข่งมาราธอนแมลงสาบแห่งชาติ
วิ่งกันเต็มถนน ไปหมด
บางตัวก็เหนื่อยกับการมีชีวิตมาก นอนหงายท้องไปแล้วก็มี
แถมเวลารถวิ่งผ่านไปมา ก็เหยียบมันไปซะเยอะ
ซากแมลงสาบเกลื่อนถนน
แขนขาหลุดกระจายไปคนละทิศละทาง
ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เห็นมันวิ่ง ๆ กัน ก็ช่างหัวมัน
มีแหยง ๆ บ้าง เพราะมันเยอะมาก มากจริง ๆ
แต่เดินไปซักพัก ตอนจะถึงตลาดนี่
เหมือนจะโดนมันรุมเข้ามา ... อารมณ์แมลงสาบหนีตาย
คงเหมือนตอนมันหนีน้ำมั๊ง มันจะขึ้นที่สูงซะงั้น

----*----

ทำหนวดตั้ง ๆ วิ่งตรงมาอย่างเร็วเลย
ที่สำคัญ มาจากทุกทิศทุกทาง
จะเหยียบทิ้งซะก็กลัวผิดศีล
ก็รวบรวมลมปราณ รวบรวมสติ หลบเป็นตัว ๆ ไป
ทำ greedy หา path ที่ดีที่สุดไปเรื่อย ๆ 555

แต่ที่น่าสงสารกว่า คือแม่ค้าที่มีร้านข้าง ๆ ตลาดนี่ดิ
นึกสภาพว่า แมลงสาบพยายามหนีตายเข้าบ้าน

*0*

นอกจากไอ้พวกที่พยายามวิ่งกรูเข้าทางประตูหน้า
มันยังมีไอ้ที่เกาะ ตามผนังตามเสา พยายามไต่ ๆ เข้าไปอีก
ยังกะดูเรื่องเอเลี่ยนตอนประตูยานกำลังะเปิด
เราเห็นก็ออกแนวสยองไปเลย มันบุกทั้งด้านหน้า บน ล่าง ซ้าย ขวา
กรูเต็มหน้าประตูซะขนาดนั้น

แต่ดูเหมือนเจ๊เจ้าของร้านเค้าคงจะชินรึยังไงไม่ทราบ
ไม่ก็ต้องเคยเป็นนางเอกหนังstarship trooper มาแน่ ๆ
เพียงแต่อาวุธไม่ใช่ปืน แต่เป็นไม้กวาด
เจ๊ทำหน้านิ่ง ๆ มองไปกราด ๆ แล้วก็ฟาดตัวที่เข้ามาในระยะแขน
หนึ่งผั่วะ หนึ่งชีวิต
บางตัวไวหน่อย ก็โดนปัดกระเด็นไป แต่ก็วิ่งเข้ามาใหม่

ยืนทึ่งเจ๊แกอยู่ซักพัก ก็รีบ ๆ จ้ำออกไปหน้าปากซอย
กว่าจะกลับมาอีกที ศพแมลงสาบก็เกลื่อนแล้ว
เป็นประสบการณ์ที่สยองจริง ๆ

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พบผู้รู้

จริง ๆ หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่บ่น ๆ ไว้ว่าท้อไป แล้วจะหายท้อ
แต่ก็ยังไม่ได้กลับมาเขียนอะไรจริงจังอยู่ดี
แล้วตอนที่ไม่ได้เขียนนี่ ... ก็แอบอู้ แอบตามใจตัวเองตลอด
แถมยังติดความสงสัยในอีกหลาย ๆ อย่างในเรื่องการปฏิบัติ
แต่ตอนนั้นถ้าถามในสายเดียวกัน ก็คงได้รับคำตอบว่า สงสัยก็ให้รู้ว่าสงสัย
ก็เลยยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก ว่าตัวเองสงสัยอะไร แล้วสงสัยว่าตัวเองสงสัยอะไร
เหมือนมันติด ๆ อะไรอยู่สักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร

สัปดาห์ก่อนเลยออกเดินทาง ไปค้นหาตัวเองอยู่พักหนึ่ง
พอดีมีพี่ที่รู้จักกัน จะบวชด้วย เลยไปเริ่มต้นการเดินทางที่วัดนั้นซะด้วยเลย
ไปถึงวัด พองานบวชเสร็จ ก็เลยได้คุยกับหลวงพี่นิดหน่อย พึ่งรู้ว่าฟังหลวงพ่อปราโมทย์เหมือนกัน
ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้จากการปฏิบัติที่แต่ละฝ่ายไปเจอมา แล้วก็มีหลวงพี่จากวัดนั้นมาร่วมวงสนทนา
ก็ได้ความรู้เพิ่มมาอีกหลายอย่าง อย่างหลวงพี่รูปนั้น บอกว่าการปฏิบัติเราต้องทำสมดุลด้วย อินทรีย์ 5
ก็เป็นอีกเรื่องที่เราไม่รู้ พอไปจากวัดนั้น กะว่าจะไปที่อื่นต่อ แต่พ่อแม่มาดักพาตัวกลับบ้านซะก่อน
แต่พอกลับบ้านไปก็ยังเิดนทาง เดินบ้าง โบกรถบ้าง ขี่รถเองบ้าง แวะไปคุยตามที่ต่าง ๆ
ความรู้ที่ได้ก็ได้เยอะ แต่ที่ได้มากกว่า คือความสบายใจและโล่งใจมากกว่า
แต่ก็เป็นที่สังเกตุว่า พระหรือผู้ที่บอกว่าปฏิบัติเนี่ย หาที่จะตอบคำถามได้ตรงใจ หรือให้ความรู้ที่ได้ประโยชน์
ค่อนข้างจะมีน้อยไปหน่อย ส่วนมากจะเจอแบบบอกให้ทำความดี ทำสมาธิไป คุยเรื่องสภาวะหรือการปฏิบัติกัน
ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ หาคนสอนได้ตรงจริตเรานี่มันยากจัง นาน ๆ กว่าจะเจออาจารย์ตรงจริต
ส่วนเรื่องตอนเดินทางได้อะไรมาบ้างนั้น ตอนไปก็ไปคุยตัวเปล่า ๆ เลยจำลงหัวไม่ได้ ได้แต่แนวคิดจำลงมาในใจ
ถ้านึกออกเมื่อไหร่ จะเอามาเขียน ให้ได้อ่านก็แล้วกัน (มิน่าถึงเห็นนักปฏิบัติ พูดถึงเรื่องถอดเทปบ่อย ๆ ดูท่า
เราคงจะต้องหาเครื่องอัดมาพกติดตัวไว้ซักอันมั่งแล้ว)

แล้วเราก็มาปิดท้ายการเดินทางที่กรุงเทพนี่เอง ได้ไปงานเปิดตัวหนังสือคุณดังตฤณ
แต่วันนั้น คนเยอะเลยไม่ได้เข้าไปคุย (งานเลิกสี่โมง แต่เห็นเพื่อนบอกแจกลายเซ็นถึงเที่ยงคืนแหนะ)
เลยได้ไปเจออีกทีตอนพี่ตุลย์ไปแจกลายเซ็นที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ตอนยืนรอก็เห็นจิตไหว ๆ อยู่ตลอด
ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เป็นความสงสัยว่าจะได้ยินคำอะไรเสียมากกว่า
สงสัยเพราะฟังหลวงพ่อปราโมทย์มามาก เลยทำให้หมกมุ่นกับคำถามมาก ๆ ว่าควรถามว่าอะไร
ถ้าจะถามว่า ทำถูกหรือยัง ก็คงได้คำตอบว่าผิด เพราะคิดจะทำ
ถ้าจะถามว่า ต้องทำยังไงต่อ ก็คงได้คำตอบว่า ไม่ต้องทำอะไร แค่ดูไป
ถ้าจะถามว่า สภาวะที่ติดอยู่นี่จะแก้ยังไง ก็คงได้ตอบว่า ให้ดูที่ตัวอยากแก้ ที่อยากนั่นก็ผิดแล้ว

... คิดไปมากมาย สุดท้ายพอไปถึงต่อหน้า พี่ตุลย์เข้าจริง ๆ
ก็เลยถาม คำถามสุดปลอดภัพที่ได้ยินนักปฏิบัติเขาถามกัน

"ที่ปฏิบัติอยู่นี่เป็นยังไงบ้างครับ" - 5555 แอบขำในใจ

พี่ตุลย์ก็หลับตาลง ตอนนั้นเราก็นึกไปเยอะแยะ เสียงพากษ์สภาวะเต็มหัว

ดีใจ ก็เห็นว่าดีใจ ตื่นเต้นก็เห็นว่าตื่นเต้น ข่มก็รู้ว่าข่ม เครียดก็รู้ว่าเครียด อยากรู้ก็รู้ว่าอยากรู้
คุณดังตฤณหลับตาไป แป๊ปเดียว แต่เราฟุ้งซ่านซะมากมาย

โดยสรุป พี่ตุลย์บอกว่า เรามีจิตที่พร้อมที่จะรู้อยู่แล้ว จิตมีสภาวะดีแล้ว
แต่ว่ายังไม่เห็น เพราะเราไม่เห็นสภาวะเกิดดับอย่างที่มันเป็นจริง ๆ
พี่บอกว่าจิตของเราเวลาไปเห็นสภาวะ พอมีสติรู้แล้ว มันไม่ได้เห็นอนิจจัง
แต่มันไปดับอารมณ์นั้น ลงไปเลย
เหมือนอารมณ์นั้น ๆ เป็นเทียนที่จุดอยู่ แล้วพอมีสติรู้ตัวขึ้นมา
แทนที่จะเห็นมันค่อย ๆ มอดไหม้จนดับลง
เรากลับไปเป่ามันดับไปเลย เลยทำให้เราไม่ได้เห็นอนิจจังขอสภาวะ
ตัวจิตที่พร้อมที่จะรู้และมีสภาพที่ดีแล้วนั้นก็เลย ไม่ได้รู้ เพราะไม่มีอะไรให้รู้ -*-
(พอได้ฟังยังงั้น ก็เกิดใจหายวูบเลย เพราะก่อนหน้านี้ นึกว่าตัวเองปฏิบัติได้ดีขึ้น
พอมีสภาวะอะไรเกิดขึ้น พอเราเห็นมันก็ดับไปเลย ก็นึกว่าตัวเองทำถูกซะอีก
แต่พอมาพิจารณาดี ๆ ก็เห็นจริงตามคำที่ได้ยิน เพราะว่า ปกติเราถนัดเรื่องควบคุม
ความคิดตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง แล้วยิ่งรู้ด้วยว่าโดยปกติจิตมีธรรมชาติรู้สภาวะได้ทีละอย่าง
เวลาเกิดอารมณ์อะไรแล้วมีสติขึ้นมา เราก็ทำการ brute force สติไปกับการรับรู้ต่าง ๆ
รวมทั้งรู้ว่ารู้อารมณ์นั้นด้วย จนทำให้อารมณ์นั้น ๆ ดับไปในทันที
.... ฉลาดมาก .... ฉลาดจนโง่เลย .... เพราะงี้จิตก็เลยไม่ได้เห็นสภาวะเกิดดับตามความจริง)
พี่ตุลย์ได้ให้คำแนะนำว่าให้เปลี่ยนไปเป็นการปฏิบัติแบบ รู้เท้ากระทบแทน
ไม่ต้องตามรู้ไม่ต้องอะไร แต่ให้มีสติรู้เวลาที่เดิน ว่าเท้ากำลังกระทบ
ให้รู้กายไป จนกระทั่งมันวางกายลงได้ และเห็นว่ากายไม่ใช่ของเรา

อันนี้ก็แอบเฮือกอีกรอบ เพราะเมื่อก่อนเคยทำแบบรู้กาย จนรู้ไปทั้งตัว แล้วเกิดมิชฉาทิฐิไปว่า
อันนี้มันคือเพ่งกายเพ่งใจไป มันคงเป็นการฟุ้งซ่าน
เราก็เลยถามไปซื่อ ๆ ว่า "ปกติผมก็ชอบปฏิบัติแบบเดิน เพราะรู้สึกว่ามันมีสติ
แต่ว่าพอเดินไปแล้ว มันจะลงไปแช่ ๆ แล้วก็รู้ไปทั้งร่างกายเลย มันไม่ใช่ฟุ้งซ่านเหรอครับ
จะไม่กลายเป็นติดสภาวะไปเหรอครับ"
ก็ได้คำตอบว่า ไม่ใช่นะ อันนั้นแหละถูกแล้วให้รู้กายไปอย่างนั้นแหละ

พอคุยกันจบ ก็เกิดปีติขึ้นมาในใจ รู้สึกดีกับรู้สึกแย่ปนๆ กันขึ้นมา
รู้สึกดี ที่ได้รับคำชม ว่าจิตมีสภาวะพร้อมรู้ แย่ตรงที่มีสัญญาผิด ๆ ในใจเยอะแยะ
ขอกลับก็เลยเกิดความอยากปฏิบัติมากไปหน่อย เลยเดินรู้เท้าไปทั้งวันเลย
แต่เป็นรู้แบบผิด ๆ นะ เพราะใจมันฟุ้ง ๆ อยู่ มันแต่ดีใจ มัวแต่คิดย้อนไป
จนทำให้ไม่มีสติรู้ตัว ... แต่ก็ยังเดินอยู่ดีเพราะอยากปฏิบัติ

จากสยามไปสามย่าน กลับมาพักที่หอ แล้วก็เดินไปสีลม เดินในสวนลุมไปรอบนึง เดินออกด้านหลังสวน
มั่ว ๆ ไปตามซอยตามถนน โผล่ไปถึงเพลินจิต เดินไปเซ็นทรัลเวิร์ล แวะกินข้าวมันไก่ประตูน้ำ
กลับไปเดินดูรูปที่เซ็นทรัลเวิร์ลไปสยาม ไปมาบุญครอง สนามสุภฯ แล้ววนกลับมาสามย่านอีกที
อยากปฏิบัติมากไปหน่อย เลยกลายไปเดินฟุ้งซ่านรอบเมิงเลย
กลับมาก็นอนตายเลย 55555

ตอนนี้ก็เลย เวลานั่งทำงาน ก็ดูจิตไปเรื่อย
ถ้าว่าง ๆ ก็จะดูเท้ากระทบไป ช่วงนี้เลยชอบเดิน เดี๋ยวเดินไปซื้อของ เดี๋ยวเดินเล่น
ก็เดินรู้เท้ากระทบไปเรื่อย ๆ ถึงจะยังไม่ถูกเท่าไหร่
แต่สักพักก็คง จะรู้เอง เพราะเคยรู้สภาวะนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว
ถึงจิตจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังดีที่มีปลายทางให้ได้ทำ

การได้เจอผู้รู้นี่ดีจริง ๆ คำแนะนำง่าย ๆ ก็เหมือนช่วยให้เห็นอะไรได้หลายอย่างขึ้น
ช่วยเปิดทางช่วยนำทางให้กับเราได้อย่างดีทีเดียว
ต่อไปนี้คงต้องหาเวลาไปพบผู้รู้บ่อย ๆ เสียแล้ว
เพราะถึงไม่ได้เจอผู้รู้ แต่ถ้าได้เจอนักปฏิบัติด้วยกัน
ก็ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย



วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

VERY EXPERT

PEOPLE USED TO LOOK OUT ON T HE
PLAYGROUND AND SAY THAT THE
BOYS WERE PLAYING SOCCER AND
THE GIRLS WERE DOING NOTHING.
BUT THE GIRLS WEREN'T DOING
NOTHING ------ THEY WERE TALKING.
THEY WERE TALKING ABOUT THE
WORLD TO ONE ANOTHER. AND THEY
BECAME VERY EXPERT ABOUT THAT
IN A WAY THE BOYS DID NOT.

CAROL GILLIGAN,
In a Different Voice: Psychological
Theory and Women's Development

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เรื่องจริงของชีวิตคู่

คนเรานึกว่าชีวิตคู่จะมีความสุขนะ พออยู่จริงๆ มันก็งั้น ๆ แหละ
บางคนอาจจะคิดว่ามันสุขมากก็มี แต่จริง ๆ ในทุกสุขมันต้องเจือทุกข์ด้วยเสมอนะ
เวลาสุขมาก พอมันไม่สุข มันก็ต้องทุกข์นะ แต่ถึงไม่ทุกข์ สุขต่อ ๆ กันไปมันก็จะกลายเป็นเฉย ๆ
ทำให้ในความเป็นจริงไม่มีสุขไหนถาวร
บางคราวเราคิดว่าการได้อยู่กับคน ๆ นี้ จะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ เลย
แต่พอเอาเข้าจริง อยู่ไปสักพัก มันก็งั้น ๆ ก็ไม่ได้อะไรมากมาย ตอนสุขก็มี แต่ส่วนมากก็เฉย ๆ
แค่เรื่องแบบนี้เราไม่ได้ใส่ใจจริงจังเฉย ๆ เราจะจำได้ก็แต่ตอนสุขมาก ๆ ตอนทุกข์มาก ๆ จนลืมตอนเฉย ๆ ไป

แต่ละคนมักจะหวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ หลอกลวงตัวเองไปเรื่อย ๆ

อย่างผู้หญิง มีแฟน จะสังเกตุ ระแวงระวัง เห็นว่าผู้ชายมีนิสัยที่ไม่ดีอยู่หลายข้อ
แต่ผู้หญิงก็มะมีความโง่อยู่อย่างนึง จะหวังว่าพอคบกันไปแล้ว จะเปลี่ยนแปลงเค้าได้
แต่พอคบกันไปแล้วจะรู้ว่า ... ไม่ได้หรอก ... มันจะเปลี่ยนหน่อยก็ตอนแรก ๆ แหละ
ผู้หญิงอยากให้ผู้ชายเปลี่ยนแปลง และมักทำไม่สำเร็จ

ผู้ชายก็เหมือนกัน ก่อนคบ จะมองเห็นว่าผู้หญิงเค้าดีทุกอย่างเลย
เพราะผู้ชายมันตาบอดมากกว่าผู้หญิง
ผู้ชายจะหวังว่าผู้หญิงจะไม่ เปลี่ยนแปลง
แล้วมันก็โง่อีกเหมือนกัน ... เพราะจะพบว่าผู้หญิงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากเลย

เพราะเราไปคาดหวังอะไรที่มันไม่ใช่ของจริง คาดหวังสุขถาวร สบายถาวร ในความเป็นอนัตตา



จาก : คำหลวงพ่อปราโมทย์ในความทรงจำที่ผสมปนเปกับความคิด

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ความรักบังตา

ไม่มาก ไม่น้อย กว่านั้น

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ความรักบังตา

ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เป็นศิลปินแห่งชาติซักวันเนอะ

พอดีได้มีโอกาสไปงานเปิด ตลาดนัดศิลปะ หน้าหอศิลป์ กทม.
ตอนไปถึงทีแรกก็เห็น เค้าซ้อมการแสดงกัน เกิดสนใจเลยไปด้อม ๆ มอง ๆ รอเวลาเปิดงาน
ยืนอยู่สักพัก ก็เกิดเวทนาทางกาย เมื่อยมาก ๆ เพราะพึ่งเดินมาจาก central world
ก็เลยไปนั่งที่เก้าอี้ ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ เราเห็นโต๊ะวีไอพีที่แถวนหน้าสุด เลยทึกทักเองว่า
เก้าอี้ด้านหลังนี่คงเป็นของผู้เข้าชมงาน แต่จะนั่งแถวหน้าสุดเลยก็ไม่กล้า
เลยนั่งที่แถวที่สองละกัน จะได้ถ่ายวีดีโอได้ด้วย

ซื้อรูปพระพักต์พระพุทธเจ้ามารูปนึง ก็นั่งดูรอเวลาเปิดงานอยู่
ช่วงใกล้จะเปิดงานก็มีลุง ๆ ป้า ๆ มานั่งด้วย เต็มไปหมด แต่ที่น่าแปลกคือ
ดูลุงป้าพวกนี้ นอกจากจะหน้าคุ้น ๆ แล้ว แต่ละคนก็ดูเหมือนจะรู้จักกันดี
ผ่านไปสักพัก ก็มีน้ำผลไม้ มีขนมมาให้กิน ผู้จัดงานแวะเวียนมาพูดคุยด้วย
เราก็นึกในใจ

"แย่ละ พวกนี้คงจะเป็นคนสำคัญ จะออกไปไงละนี่ โดนขนาบซ้ายขวาเลย"

แต่บังเอิญวันนั้นแต่งตัว art ๆ หน่อย ผมก็ตัดสกินเฮด คนเลยเข้าใจผิดไปว่า เราคงเป็นหนึ่งในคน
พวกนี้ แต่เค้าจำกันไม่ได้เองว่า เราเป็นศิลปินคนไหน สาขาไหน 5555
เพราะขนาดลุงป้้า ด้านข้าง ก็ยังคุยกับเรา คุยกันเรื่องงานศิลปะ คุยกันเรื่องงานที่จัด ฯลฯ
ก็ได้ความรู้จากสูจิบัตรงาน กับการที่มี staff มาพูดคุยด้วย เลยพอถูไถ ผ่านไปได้
พอประธานมาเปิดงานถึงได้รู้ว่า ที่นั่งอยู่รอบ ๆ เรานั่น เป็น "ศิลปินแห่งชาติทั้งนั้นเลย"


เหอะ ๆ ๆ


ตอนที่นั่งอยู่นั่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปเมธีขึ้นมาทันตาเห็น ดื่มด่ำกับงานศิลป์ที่มาแสดง
ร่วมกับศิลปินแห่งชาติที่พึ่งรู้จักกัน (เค้าคุยด้วยคงเพราะคิดว่าเราก็เป็นศิลปิน แค่เค้าจำไม่ได้มั๊ง
ก็เล่นนั่งอยู่ในดงแขกคนสำคัญ กินน้ำกินขนม กับพวกแขกผู้มีเกียรติ แถมยังทำหน้าไม่สะทกสะท้าน 555)
งานนี้ก็จัดออกมาค่อนข้างดีเลย การแสดงของเด็ก ๆ แต่ละคนเก่งมาก ๆ ชอบที่สุดก็การแสดง ชุดอึกทึก
เป็นการแสดงกลอง งานศิลปะรอบ ๆ ค่อนข้างจะแพงไปหน่อย แต่ก็สวยดี


ใครได้ดูข่าวหรือมีรูปงานวันเปิดงานนี้ ส่งให้ link ให้หน่อยก็ดีนะครับ
อยากรู้ว่าจะเห็นหน้าตัวเองมั๊ย เห็นกล้องหันมาถ่ายกันแทบจะทุกตัว
ถ่ายแขกคนอื่นนะ ไม่ได้ถ่ายผม แต่คงจะติดมามั่งละน่า


วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

วิสัยชายโฉด - 2

ตกลงกันก่อน
อย่างแรกเลยคือข้อความต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนนึกเอาเอง จากประสบการณ์ จากการอ่าน
จาความรู้ผิว ๆ จากการรวบรวม จากการเป็นผู้ชายและมีเพื่อนผู้ชายและหญิงอยู่หลายคน
ทำให้ข้อเขียนนี้ เป็นแค่ข้อคิดอย่างนึง อาจจะไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว
อีกอย่าง ผู้เขียนนั้นคนใสซื่อ อ่อนต่อโลก และเป็นคนดี ที่เอามาเขียนคือสิ่งที่เคยรู้มา
หรือรวบรวมมา จากชายโฉดคนอื่นมากกว่า เพราะงั้นถ้าจะถามคงตอบไม่ตรงใจ
สุดท้าย อยากให้บทความชุดนี้เป็นประโยชน์ กับผู้หญิงนำไปรับมือ และผู้ชายนำไปใช้ ... ในทางที่ดี
- "ขงจื๊อกล่าวไว้ ผู้ใดกล่าวว่าเข้าใจสตรี ผู้นั้นไม่เข้าใจสิ่งใดเลย 555"

การเข้าทลายเกราะ
ชายโฉดจะรู้ว่าผู้หญิงต้องการการยอมรับในตัวตนของเธอ เมื่อเรายอมรับฟัง ความเป็นตัวตนของเธอได้ เธอก็จะเริ่มสนใจเราขึ้นมาทันที เพราะผู้หญิงโดยปกติิ เป็นคนที่ชอบพูด แล้วเวลาอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ก็จะอยากพูดเหมือนกันหมด ทำให้เค้าต้องการคนฟังในระดับนึง คนที่จะยอมรับและตั้งใจฟังจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ต้องการแบบคุยกับตุ๊กตานะ ต้องโต้ตอบได้ในแบบที่ she อยากได้ ซึ่งมันก็ต่าง ๆ กันไปแต่ละคนอีก บางคนชอบให้บอกว่า she ถูก บางคนชอบให้ขัด บางคนชอบเอาชนะ แต่ไม่อยากเอาชนะง่าย ๆ บางคนชอบหาเรื่องเถียง รึบางคนชอบหลาย ๆ แบบปน ๆ กัน เพราะงั้นสิ่งสำคัญคือการดูให้ออกว่าเธอชอบแบบไหน เมื่อไหร่ หรือถ้าดูไม่ออก ก็ลองดูหลาย ๆ แบบไปเลยก็ได้ แล้วจะรู้ว่า เค้าชอบแบบไหน ... ถ้าดูไม่ออกว่าเค้าชอบไม่ชอบรึเปล่านะ ก็ดูว่าเวลาพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ถ้าเค้าชอบ เค้าจะพูดเยอะขึ้น ตาเป็นประกาย ถ้าไม่ชอบ ก็จะพูดน้อยลง เริ่มนอกเรื่อง เวลาพูดตาจะมองไปทั่ว ๆ ออ ลืมบอก เวลาshe ตั้งใจพูด จะชอบมองหน้า เวลายังงี้ ถ้าจ้องตากลับเวลาฟัง ก็จะได้ดู feed back ของshe ที่มีต่อเราด้วย

กรณีศึกษา
- ถ้าเป็นคนไม่รู้จักเลย เช่นshe กำลังร้องเพลงอยู่ แล้วเธอตั้งใจร้องหรืออารมณ์ดี แล้วเราก็แทรกไปว่า เพราะจัง ถ้าshe หันมา แล้วยิ้ม หรือเขิล แปลว่า เราทะลุเกราะไปได้ละ คุยต่อก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่ย้ำว่า ตั้งใจหรือ อารมณ์ดี เพราะเป็นเวลาที่sheอยากจะร้อง ถ้าแค่ฮัมเพลง แล้วเราใช้มุขนี้ ส่วนมากจะโดนหาว่า "เสือกเรื่องอะไรเนี่ย" นะ

- ถ้าเป็นเพื่อนของเพื่อน ไม่ได้รู้จักกันแต่ได้อยู่ในวงสนทนาเดียวกัน ก็จับประเด็นเรื่องที่เธอพูด และดูความสนใจและปฏิกิริยา ของเพื่อน ๆ เธอต่อเรื่องที่เธอพูด อย่าง นั่งกันสี่ห้าคน พอshe พูดเรื่องแฟน ขึ้นมา ว่าเค้ายังงั้นยังงี้ แล้วเพื่อน ๆ she เอือม หรือมีประโยคแบบตัดไ่ม่อยากให้เธอพูดอีก อย่าง กูบอกมึงแล้ว เค้าก็ยังงี้แหละ ฟังจนเบื่อแล้ว หรือเปลี่ยนเรื่องไปเลย ก็ให้ยกประเด็นนั้น ๆ ไปคุยกับเค้าต่อ she ก็จะอยากเล่าให้คุณฟังต่อ และจะกลายเป็นดึงกาารสนทนาให้ เหลือกันแค่สองคนได้ และเมื่อเรารับฟัง she ก็จะเปิดใจกับเรามากขึ้น

เรื่องนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้อีกหลาย ๆ อย่าง
ถ้าคุณสนใจshe she ก็จะสนใจคุณ การได้เป็นจุดสนใจ เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่เด่น ๆ ของเพศนี้นะ เพราะงั้น เราจึงต้องรู้จักสังเกตเรื่องรอบ ๆ ตัวshe อย่างมีไหวพริบ สีหรือ รูปแบบของเครื่องประดับ เสื้อผ้า การแต่งตัว เครื่องแต่งหน้า ทรงผม ข้าวของเครื่องใช้ ประเด็นเหล่านี้ จะทำให้มีเรื่องคุยได้เยอะแยะทั้ง ๆ ที่เป็นการพูดคุยครั้งแรก แล้วถ้าเป็นไปด้วยดี ก็จะเริ่มแตกประเด็นใหม่ ๆ ออกมาอีกเยอะแยะ เพราะงั้นสิ่งสำคัญของชายโฉด คือการมีความรอบรู้ในหลายเรื่อง และจะรู้อย่างเชี่ยวชาญใน ๑ เรื่องซึ่งจะกลายเป็นจุดเด่น ชายโฉดจึงจำเป็นที่จะต้องบริโภคหนังสือในปริมาณมากอย่างสม่ำเสมอ

ที่สำคัญที่สุดคือความประทับใจครั้งแรก ... ซึ่้งจะมีผลต่อทัศนคติsheต่อตัวคุณไปอีกนาน

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ถามผู้รู้

(15:17 PM) [ G.U. ] - {sad: จะถามว่า พอมันเห็นจิตแล้วมันก็คิดต่อ จนตอนนี้เหมือนกลายเป็นคิดตลอดเวลา
(15:17 PM) [ G.U. ] - {sad: เสียงพากษ์เต็มหัว
(15:18 PM) [ G.U. ] - {sad: ทำไงมันถึงจะหายอะ
(15:18 PM) [ G.U. ] - {sad: ทำสมถะเหรอ
(15:18 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: อยากหายเปล่า
(15:18 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ถ้าอยากให้รู้ว่าอยากก่อนะ ตัวที่ทำให้ไม่หาย คือ มันมีโทสะแทรกน่ะ คือเกลียดเสียงพากษ์
(15:19 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: เสียงพากษ์มันห้ามไม่ได้นะ
(15:19 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: จิตมันแสดงธรรมะให้ดูว่า เธอบังคับฉันไม่ได้
(15:19 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ฉันจะพากษ์เธอก็ห้ามฉันไม่ได้
(15:19 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ฉันจะหยุดพากษ์เธอก็สั่งไม่ได้
(15:19 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ให้มองในมุมนี้ จะได้ไม่ไปรำคาญมัน
(15:20 PM) [ G.U. ] - {sad: ตอนนี้ก็เห็นว่ามันเป็นเสียงพากษ์เฉย ๆ นั่นแหละ แค่สงสัยว่าอันนี้ทำไมพอเห็นแล้วมันไม่ดับไปเหมือนอันอื่น
(15:20 PM) [ G.U. ] - {sad: ปกติเห็นแล้วมันก็จะดับ จิตมันจะเอาเรื่องอื่นมาคิดต่อ
(15:20 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: อื้อ คือ มันบังคับไม่ได้นะ ถ้าถามวาทำไมไม่ดับ มีหลายสาเหตุ
(15:20 PM) [ G.U. ] - {sad: อออ
(15:20 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: 1. พอเห็นว่ามันพากษ์ แทนที่เราจะรู้เฉยๆ เราถลำไปจ้อง
(15:20 PM) [ G.U. ] - {sad: ก็ช่างมันใช่ไหม
(15:21 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: คือหลุดไปจากความรู้ตัวแล้วน่ะ ส่งจิตเข้าข้างในไปจ้องมัน ว่าเมื่อไหร่จะดับ
(15:21 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: มันก้อเลยไม่ดับ
(15:21 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: เพราะเราไม่ได้รู้เฉยๆจริง แต่เราไปจ้องมัน หรือไปเกลียดมันเข้า
(15:21 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: วิธีแบบวิปัสสนาก็คือ ตามดูไป
(15:21 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ถ้ามันฟุ้งซ่าน ให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน ดูภาพรวม อย่าไปไล่ตามทีละตัว มันจะเหนื่อย
(15:22 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: เช่น คิดสิบเรื่อง ถ้าเราไล่ตามสิบเรื่องเลย สักพักมันจะเหนื่อย ถ้ามันฟุ้งซ่านหนัก ให้รู้ไปเลยว่ามันฟุ้งซ่านละ
(15:22 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: แล้วก็จะเห็นความจริง ว่าความฟุ้งซ่าน มีระดับอ่อน แก่ แตกต่างกัน เราบังคับไม่ได้
(15:22 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: แต่ถ้าทำสมถะได้ ก็หาเวลาทำสมถะบ้างก็ดี
(15:22 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: มันจะทำให้จิตมีกำลัง
(15:22 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: เวลาเห็นสภาวะ แล้วจิตมันตั้งมั่น มันจะตัดสภาวะลงไปเลย
(15:23 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: อย่างนี้คือ พอมันเห็น แล้วมันไหลตามไป มันเห็นว่าพากษ์ แล้วมันก็ไหลไปตามเสียงพากษ์ มันไม่ได้ตั้งมั่น
(15:23 PM) [ G.U. ] - {sad: นั่นแหละ ที่อยากรู้ คือเราไม่ได้ทำสมถะแบบไหนมาก่อน
(15:24 PM) [ G.U. ] - {sad: เริ่มฟัง พร้อมกับ เริ่มดูลมหายใจ
(15:24 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: คือ ถ้าดูไปเรื่อยๆ ถึงจุดนึง ถ้าไม่มีสมถะมาช่วยเลย จิตมันจะไม่มีกำลังน่ะ
(15:24 PM) [ G.U. ] - {sad: เห็นท่านบอก ไม่ต้องไปติดสมถะ
(15:24 PM) [ G.U. ] - {sad: ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงควรจะทำหรือไม่ทำดี
(15:24 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: คือ อย่างนี้ คนหัดใหม่ๆ ยังไม่ควรจะไปทำสมถะ เพราะว่า
(15:24 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ยังรู้สึกตัวไม่เป้น
(15:24 PM) [ G.U. ] - {sad: เพราะถ้าทำ ตอนทำก็เหมือนมันข่มไว้ นิ่งจนไม่เห็นอะไรเลย
(15:24 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ถ้าไปทำสมถะ แทนที่จะทำไปด้วยความรู้สึกตัว
(15:25 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: กลับกลายเป็นไปเพ่งหมดเลย
(15:25 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: เพราะไม่เคยรู้จักสภาวะของความรู้สึกตัว ไม่รู้จะใช้จิตแบบไหน ไปทำสมถะ พอไปทำเข้า ก็เอาจิตแนบไปกับลม กับมือ กับเท้า กลายเป็นเพ่ง
(15:25 PM) [ G.U. ] - {sad: นั่นแหละ ๆ
(15:25 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ถ้าทำสมถะไม่ได้ ก็ทำอะไรที่มีความสุขน่ะ เช่น ตักบาตร ปล่อยปลา สวดมนต์ ไหว้พระ
(15:25 PM) [ G.U. ] - {sad: แต่รู้สึกว่าถ้าไม่ทำ จิตก็ไม่มีกำลัง อะไรมาก็ไหลตามไปหมด
(15:26 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: จิตมันจะมีกำลังขึ้นมา เพราะมันมีความสุข
(15:26 PM) [ G.U. ] - {sad: มันรู้ว่าฟุ้งซ่าน แต่ก็ฟุ้งซ่านเรื่องที่รู้ต่อไปอีก
(15:26 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: เหตุใกล้ที่ทำให้เกิดสมาธิ คือ ความสุข
(15:26 PM) [ G.U. ] - {sad: อ่าว ทำงั้นจะไม่กลายเป็นติดสุขไปอีกเหรอ ถ้ามันเห็นว่าเป็นสุขก็ละไม่ได้ซะทีสิ
(15:26 PM) [ G.U. ] - {sad: รึว่าทำไปก่อน
(15:26 PM) [ G.U. ] - {sad: แล้วมันจะเลิกสุขไปเอง
(15:27 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: การที่จะดูว่าติดสุขหรือเปล่าน่ะ
(15:27 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: คือ ถ้าเกิดมีความสุข แล้วชอบความสุข ( ราคะ ) ให้รู้ทันว่าไปชอบความสุข
(15:27 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: แบบนี้จะไม่ติด
(15:27 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: แต่ถ้าเกิดมีความสุข แล้วเกิดความชอบขึ้น แล้วรู้ไม่ทัน อันนั้นเรียกว่าติดสุข
(15:28 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: คือ การจะละเนี่ย ไม่ใช่หนีความสุขนะ
(15:28 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: การจะละได้เนี่ย เราต้องเห็นว่า สุข กับทุกข์ มีค่าเสมอกัน
(15:28 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: คือ เกิดขึ้น แล้วก็ดับ ลงไปเหมือนกัน
(15:28 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: บังคับไม่ได้เหมือนๆกัน
(15:28 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: จิตถึงจะเป็นกลาง
(15:28 PM) [ G.U. ] - {sad: ออ
(15:30 PM) [ G.U. ] - {sad: ขอบคุณ
(15:31 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ฮ่าๆ ไม่เป็นไร งงตรงไหนถามได้นะ
(15:31 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: พิมพ์ยาวไปหน่อย ไม่ค่อยกระชับ
(16:01 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: ฟัง CD หลวงพ่อบ่อยป่ะ
(16:07 PM) (#) ץ٥ط : ดูกายเห็นจิต ดูความคิดเห็นธรรม has changed his/her personal message to "ภาวนาแทบเป็นแทบตาย เพื่อจะรู้ว่า "ทำไม่ได้" http://hidhamma.diaryclub.com"
(17:27 PM) [ G.U. ] - {sad: ก็เปิดตลอดเวลาแหละ
(17:27 PM) [ G.U. ] - {sad: เพราะทำงานที่หอ
(17:27 PM) [ G.U. ] - {sad: เลยเปิดฟังไปเรื่อย ๆ
(17:27 PM) [ G.U. ] - {sad: ตอนคิดก็ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง
(17:27 PM) [ G.U. ] - {sad: นอกนั้นก็ฟังตลอด
(17:32 PM) ץ٥ط : ดูกายเห: อือ ดีละ

รอบนี้เล่นง่าย เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยพัฒนา เท่าไหร่ ช่วงนี้ไปเนิบ ๆ ชอบกล

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ตาลอบกับยายทอง

พึ่งจะมีโอกาสได้อ่านเรื่องของตาลอบกัยยายทอง
link มากมายเรื่อง ตาลอบ จาก google , แบบมีรูปประกอบ
โดยย่อ ก็คือ เค้ารักกันมาจะ 50 ปี แล้วยายทองอัมพาต ขยับไม่ได้ ตาลอบเลยคอยดูแล
อย่างดีมานับสิบปี พูดคุย เอาใจใส่ และ อยู่เป็นเพื่อน

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคนสองคนธรรมดา แต่มาสะกิดใจอยู่ตรงที่ความเห็นของผู้คน ที่อ่านเรื่องนี้ต่างหาก
ด้านบนเราได้ใส่ link จาก google ไว้หรือลอง search ด้วยคำว่า ตาลอบ แล้วลองไปอ่านความเห็นตามที่
ต่าง ๆ ที่ได้แสดงความคิดเห็นกันไว้ อ่านแล้วก็แอบแปลกใจ ว่านี่ใครก็พูด ว่าอยากได้ผู้ชายดี ๆ
อย่างนี้บ้าง อยากที่จะมีรักแท้อย่างนี้บ้าง

สักคน

แล้วอีกคำที่เห็นบ่อย ๆ คือ คำว่า "สมัยนี้คงหายาก" ... ทำไมมันถึงหายาก
จากประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในการศึกษาเพศชาย และได้ลองเป็นเพศชายดู
กับความรู้อีกหลาย 10 ปี เรื่องของผู้หยญิง (อันนี้ยังไม่ลองเป็นเพราะใจไม่รัก)

ที่คนแบบนี้มันหายาก เพราะผู้ชายแบบนี้
  • เราไม่ได้รักมัน คือเราอยากได้คนแบบนี้ แต่ต้องเป็นคนที่เรารักมันด้วย แค่มันรักเรา ไม่พอ
  • มีความรักแบบเรียบ ๆ แต่เราอยากให้มันมีความรักที่หวือหวา ซึ่งความหวือหวา มันไม่ถาวร แต่การที่มีความรักแบบเรียบ ๆ คนก็ไม่ค่อยเข้าใจ เห็นว่าน่าเบื่อ เห็นว่าเค้าทำให้เรา มีความสุขได้ไม่มากพอ
  • มักไม่อยู่ในผับ และถึงเจอ เค้าก็ไม่ค่อยขอเบอร์ก่อน
  • เค้าไม่ได้รักเรา แล้วเราก็เปลี่ยนใจเค้าไม่ได้ เพราะถ้าเปลี่ยนได้ คงไม่ใช่ผู้ชายแบบนี้
  • คิดว่าการอยู่ด้วยกัน มีแค่รักมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ต้องมีความผูกพัน กับความเข้าใจเป็นหลัก แต่คนส่วนมากมักคิดว่า การที่คนสองคนคบกัน มันต้องรักกันตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วรักเป็นโคตรของ อนิจจัง เลย
ถ้าดูยังงี้ การหาผู้ชายดี ๆ แบบนี้ก็ออกจะง่าย แค่เปลี่ยนมุมมองของเราเองนิดหน่อย เราก็เจอกับผู้ชายดี ๆ เกลื่อนไปหมด หันไปทางไหนก็เจอ มันอยู่ที่ว่า เรามองยังไงดีกว่า เพราะเราคิดเอาเองว่า ที่คนอ่านเรื่องนี้
แล้วคิดว่าผุ้ชายคนนี้ดี อยากได้ผู้ชายยังงี้บ้าง อยากมีรักอย่างนี้บ้าง มันไม่ได้ดูเป็นคำพูดที่ดีเลย
เพราะมันไม่ได้เหมือนกับการมองหาคนที่เราจะวางใจได้ แต่เป็น การหาคนที่มาคอยตามใจ
เอาใจเราเสียมากกว่า ...

อาจจะเป็นเพราะตอนนี้มีอคติกับการมองเรื่องความรักของคนอื่น เลยเห็นเป็นแบบนี้ จริง ๆ
ความรักมันอาจจะสวยงามกว่านี้ก็ได้ ....

มั๊ง

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551

โลกเป็นไข้ อีกรอบ

ธรรมชาติเอ๋ย จงอยู่ เพื่อมนุษย์
    มนุษย์เอย ธรรมชาติ มี สมดุล

กว่าจะได้มาเขียนขยายความของแคนโต้นี้ต่อ
นอกจากจุดประงสงค์ที่ได้เขียนไปแล้ว มันยังมีอีกเรื่องที่เรายัดไว้ใน แคนโต้นี้
นั่นก็คือการที่อยากให้เปลี่ยนมุม มองของเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม
เพราะตอนนี้ เวลาพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เราพูดถึงเรื่องการช่วยกันรักษา
รณรงค์ และดูแล แต่ก็เหมือนไม่ได้พูดเรื่องของตัวเอง พูดเรื่องไกลตัว
แต่เมื่อเรามองดูประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันเป็นเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ใหม่
ระหว่างสองระบบอันซับซ้อนและสำคัญทีุ่สุดบนโลก

"สังคมมนุษย์" กับ "ธรรมชาติ"

และเรื่องที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีสมดุลในระบบนี้ได้หรือไม่
ถ้าเราไม่อาจจะรักษาสมดุลของเรากับธรรมชาติ มันก็จะหมดไป

ในท้ายที่สุดที่ทุกคนพูดถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม
มันก็จะเป็นการ "ใช้คำพูดที่ผิด"
เพราะว่า "สิ่งแวดล้อม" ยังคงอยู่รอด
"เรา" ต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ไม่อาจจะอยู่รอด
หรือเราอาจจะอยู่รอด ในโลกใบที่เราไม่อยากจะอยู่