วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

งาน ReadCamp #1

พึ่งกลับมาจากงาน ReadCamp ครั้งที่ 1 กลับมาก็รีบมาเขียนไว้ก่อนเลย
งานนี้จัดในรูปแบบงาน unconference คร่าว ๆ ก็คืองานทีุ่ทุกคนเป็นวิทยากร
มารวม ๆ กัน แล้วเขียนหัวข้อที่ตัวเองจะพูดแปะไว้ แล้วให้มาโหวตกันว่าอยากฟังของใครบ้าง
มารอบนี้ก็เป็นเรื่อง ของเกี่ยวกับ การอ่าน 


ได้แลกเปลี่ยน ถกเถียง ฟังความเห็นของคนอื่น เห็นความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ
ทั้งสนุกทั้งน่าสนใจ ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่มีความคิดเจ๋ง ๆ 
ในเรื่องที่คิดไม่ถึง หรือเรื่องธรรมดา ๆ ในมุมมองของคนอื่น 
ตื่นเต้นดีแฮะ ... อยากรู้ตลอดว่าจะได้ฟังเรื่องอะไรบ้าง 
อีกอย่างที่ดีมาก ๆ คือ ตอนสมัครมาทุกคนเป็นผู้พูด ทำให้กล้า ที่จะพูดเสนอความเห็นของตัวเอง
และที่สำคัญทุกคนต้องเป็นผู้ฟังด้วย เวลาเราพูดก็จะมีคนตั้งใจฟัง 
แล้วก็ถาม ถก เถียง ด้วยความเห็นหลากหลาย
บางประเด็นเริ่มด้วยเรื่องง่าย ๆ แต่แตกประเด็นย่อย ๆ ออกไปจนกลายเป็นเรื่องสนุกไปได้ก็มี
นักพูดก็มีตั้งแต่มีเก๋า จนถึงมือใหม่ แม้แต่คนที่เอามาแต่หัวข้อ แต่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรก็ยังมี
มาถึง ก็ช่วย ๆ กันสร้างประเด็นต่อเติมหัวข้อกันออกไป ... ขำ ๆ


งานนี้แบ่งเป็นสามห้อง ห้องละ 8 session (มั๊ง แต่หัวข้อเยอะกันมาก ๆ) 
อยากจะเข้าฟังมันทุกห้องทุก session เลย แต่ก็ต้องเลือกเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในช่วงนั้น
งานนี้มีเรื่องที่เราคิดว่า น่าสนใจมาก ๆ อยู่ 2 เรื่อง

อันแรกเป็นหัวข้อ ความโรแมนติกของสามก๊ก เนื้อหาหลักคนพูดก็นำเสนอได้ดีมาก ๆ 
ทำการบ้านมาดีทีเดียว แต่ที่น่าสนใจคือการเปรียบเทียบสามก๊ก กับการเืมืองเราในตอนนี้
โจโฉเก่งกาจ มากความสามารถ แต่เพื่อเป้าหมาย บางครั้งก็มองข้ามคุณธรรม 
คนจะดีจะเลวไม่สนใจ ถ้าเก่งและทำงานได้ เค้าใช้หมด
เล่าปี่ and the gang ใช้คุณธรรมกับพลังของประชาชน ในการสร้างฐานกำลัง
ลุกไล่ ตลอด แต่กำลังน้อย อณาจักรเล็ก ได้แต่คอยตอด ทำควาามเสียหาย
ซุนกวน ประวัติศาสตร์ยาวนาน ฐานกำลังแข็งแกร่ง แต่่เยิ่นเย้อชักช้า 
ทำอะไรไม่ทันการ ไม่เด็ดขาด สุดท้ายเลยขึ้นเป็นหัวหลักไม่ได้ซักที
เอา เข้าใจเปรียเทียบแฮะ ว่ายังงี้ก็เห็นภาพขึ้นมาเลย
เรากำลังรอสุมาี้อี้อยู่ใช่มั๊ยเนี่ย ...5555

อีกเรื่องคือของอาจารย์โป้ง worst is better เนื้อหาและิวิธีการนำเสนอเข้มข้นจนผมไม่กล้าวิจารณ์ 555
ขอเอาข้อความที่เค้าเขียนไว้มาแปะ เลยละกันครับ
"Worse is Better" in the Age of Mash-Ups
Yet again an analysis of Nico Nico Douga mash-up videos. Why are certain contents --- for examples, Touhou, Idolm@ster, Lucky Star, and certain songs --- are so popular? I argue that these contents are "generative." Because of their simplicity, eccentricity, and lack of depth, people feel encouraged to take them apart and recombine them with others. I will also draw parallels between generative contents and successful software systems. Why is C a lot more popular than Lisp? Why is the Internet so great despite being so stupid by design? Why do I like Python and Ruby more than Java? The answer is, I believe, three things: simplicity, usability, and extensibility.


ทุก ๆ หัวข้อที่พูดมีการอัดไว้ เร็ว ๆ นี้คงมีคนเอาขึ้นมาให้ดูกัน ใครสนใจค่อยตามดูอีกทีที่เว็บเค้าละกันครับ

พูดถึงเรื่องคนอื่นไปแล้ว ก็เรื่องของเราบ้าง ... จริง ๆ แล้วเรื่องที่ผมเตรียมไป 
เป็นเรื่องประมาณการดูจิตนี่แหละ เขียนชื่อหัวข้อไปว่า อ่าน"อารมณ์" 
ตั้งใจไว้ว่า จะลองพูดแบบกับคนฟังหลายคนดู ว่าจะทำให้เค้ารู้สึกตัวขึ้นมาได้ซักคนรึเปล่า
แต่จะด้วยชื่อหัวข้อมันคลุมเคลือ รึยังไงก็ไม่รู้
ทีแรกผมนึกว่า หัวข้อที่ผมพูดจะไปอยู่กับ หัวข้อด้านศาสนา 
เพราะมีคนเสนอ เรื่องอ่านลมหายใจ เรื่องพุทธ หรือเรื่องทำนองนี้อยู่ 
แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็น หัวข้อของผม ไปรวมอยู่กับ เรื่องความรักซะงั้น ... 5555
ใน session นั้นเป็นการเอา 5 หัวข้อมาคุยพร้อมกัน
    - รับมือผู้ชายเจ้าชู้
    - art ตัวแม่
    - ฤดูกับอารมณ์
    - เมื่อไหร่ที่ผู้หญิงและผู้ชายจะเข้าใจกัน
    - อ่าน "อารมณ์"
555 ตอนเห็นหัวข้อก็เลยมาวางแผนใหม่ ทำไงจะดึงเข้าประเด็นเราได้หละเนี่ย
ก็เลยให้ ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง เค้าระบาย เรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายกันออกมา 
ก็สนุกดีนะ นาน ๆ ทีให้ผู้ชายกับผู้หญิงมาแชร์ความคิดของเพศตัวเองกันแบบนี้
เถียงๆ  กันอยู่เกือบชั่วโมง จนจะหมดเวลา ... แต่เรายังไม่ได้เสนอไอเดียเราเลย
ก็เลยขอปิดประเด็น โดยเรานำเสนอ วิถีทางพุทธที่จะช่วยแก้ัปัญหาที่แต่ละคนพูดมา
เวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็ถือว่าออกมาโอเคแหละครับ เอาไว้คราวหน้าจะไปแชร์กันใหม่


งานนี้สนุกมาก ๆ ได้คุยกับคนต่าง อาชีพ อายุ สถานะ บริบท สังคม ความคิด วัฒนธรรม
มาพูดคุยในเรื่อง เดียวกัน ด้วยมุมมอง ที่ทั้งเหมือนทั้งต่างกัน 

ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ 

อยากให้จัดอีกทีเร็ว ๆ แอบไปสมัครเป็น staff ช่วยงานในเว็บไว้แล้วด้วย ฮี่ๆ 
ใครไม่เคยไปก็ลองไปกันดูนะครับ เชิญชวน ๆ 
รึใครที่เราเจอในงาน ก็มาเม้นกันบ้างนะ แลกเปลี่ยนความเห็นกัน

ขอบคุณผู้จัดทำกับงานดี ๆ แบบนี้ครับ ขอบคุณนักอ่านทุกคนด้วย สนุกมาก ๆ เลย

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เพลงไทย

อ่านเรื่อง ราตรีประดับ ดาวของขวัญข้าวแล้วก็นึกอยากฟังเพลงไทยขึ้นมา
จริิง ๆ ผมชอบฟังเพลงไทย แล้วก็พวก เอาเพลง classic มาทำ fusion
ดูเป็นท่วงทำนองที่แปลกหูแล้วก็มีพลังดี
แต่ฟังเพลงแบบนี้ ก็มักจะโดนมองว่าเป็นคนแปลก แล้วก็หาคนคุยด้วยเรื่องนี้ยาก
ก็ต้องแอบฟัง ตอนว่าง ๆ ไม่ก็มาเขียนระบายไว้ใน blog นี่แหละ 5555

ถือโอกาสเอา เพลงของขุนอินมาลงไว้ละกันครับ
อยากให้มีเพลงแบบนี้ออกมาอีกเยอะ ๆ จัง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

พบกับขุนอิน โตสง่า ระนาดเอกของไทย ด้วยการผสมผสานดนตรีไทยคลาสสิคกับดนตรีฮิบฮอบ, แจ๊ส, ฟังก์, ร็อค และลาติน กับการเล่นระนาดที่เต็มไปด้วยทักษะและพรสวรรค์ ซึ่งเป็นการยกระดับดนตรีไทยคลาสสิคสู่ระดับสากล
ในอัลบั้ม OFF BEAT SIAM พบการบรรเลงดนตรีไทย 5 เพลงและเพลงร้อง 5 เพลง ซึ่งเป็นการนำ เสนอเพลงร้องที่ความแตกต่างทั้งในด้านภาษาและแนวเพลง
ขุนอิน โตสง่า ระนาด
พัทยา อยู่สถิตย์  คีย์บอร์ด
ธีรเดช หุนสนอง  กีตาร์ไฟฟ้า
วีรวงศ์ วรรณวิจิตร  กีตาร์เบส
จีรวัฒน์ แสงอนันต์ กลองแจ๊ส
ณัฐวุฒิ ลี้กุล 

Khun in

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คิด คิด คิด

ช่วงนี้ ทำงานค่อนข้างหนักทีเดียว 

อาจจะเป็นเพราะเป็นงานในแบบที่ชอบ และอยากทำมานาน

ก็เลยทำ ทำ ทำ ทำ ทำ และ 90% ของงานเป็นการคิด คิด คิด คิด

มีเวลาว่างมาดูจิต นาน ๆ หน เห็นแล้วก็รีบเลือนไป เพราะกลัวจะลืม เรื่องที่คิดอยู่

มีสติแวบมาก็กลับไปเพ่งกับความคิดต่อ การปฏิบัติช่วงนี้จึงหย่อน ๆ ไป

ก็มีหยุดคิดบ้างเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี 

ใจนึงก็อยากจะทำให้ได้ตามเป้าก่อน ยังมีโครงการอีกเยอะแยะที่อยากจะทำ

แต่แค่งานที่ทำตอนนี้ ก็แทบจะใช้เวลาที่มีไปจนหมด

ไหนจะโครงการต่าง ๆ ที่วางไว้สำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง

ตอนทำงานมันก็มันส์ในอารมณ์แหละนะ อยากทำมานานแล้ว

แถมได้เจอคนคอเดียวกันอีก ก็เลยคิด หมกมุ่น และฟุ้ง ๆ ได้ทั้งวัน

แต่พอมีเวลาได้อยู่กับตัวเอง เวลาที่สติกระโดดขึ้นมาขวาง กระแสความคิด

ก็จะรู้สึกกลัวและเร่าร้อน อยู่ในอก 

อยากจะบวช อยากกลับไปดูจิต อยากอยู่ในที่สัปปายะ

...

รู้สึกช่วงนี้ จะคิดถึงเรื่อง ว่าออกไปบวชเลยตอนนี้จะดีไหม ไหน ๆ สุดท้ายเราก็จะบวช

ทำไมไม่บวชมันเสียแต่ตอนนี้เลย ... แต่พอนึกไปนึกมา ก็คิดว่าบวชตอนนี้ ก็คงยังไม่ได้อะไร

สติก็ยังไม่เ้ข้มแข็ง ดูไปลึก ๆ แล้ว บวชเพราะความอยากซะมากกว่า ... อยากสงบ อยากหนีความวุ่นวาย

อยากไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบทางโลก อยากหลบจากปัญหาที่มีอยู่

วันนี้เลยเป็นอีกวันที่เตือนตัวเองว่า เอาไว้ให้สติเข้มแข็ง และไม่ต้องหลีกหนีภาระทางโลกก่อนละกัน

แล้วค่อยไปบวช เผื่อจะได้เอาประสบการณ์ไปช่วยคนอื่นเค้าได้ 

ปล. แต่อยากไปบวชแล้วจริง ๆ นะ -*- เป็นคนโลเลฟุ้งซ่านนะเนี่ย

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

งานจิบกาแฟคนทำเว็บ

วันเสาร์ที่ผ่านมาไปงานจิบกาแฟคนทำเว็บ

เริ่มประเด็น เกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของ สบท

มีความรู้ประหลาด ๆ อย่างที่พึ่งได้รู้ ว่าเราร้องเรียนอะไรได้บ้าง

มีหลายเรื่องที่เราก็เห็นด้วยกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอย่างเรา

แต่หลายเรื่องก็คิดว่า มันอันธพาลไม่ต่างกับ พวกพ่อค้าหรอก

อย่างมีข้อนึงที่บอกว่า บัตรเติมเงิน เมื่อเราซื้อแล้ว ถ้าเรายังไม่โทร

เราก็ควรที่จะใช้บริิการได้เรื่อย  ๆ ทำไมถึงมีหมดวันด้วย แล้วหมดวันถ้าเงินเหลือเป็นยังไง

และดูเหมือนจะมีกรณี ที่ไปร้องเรียน จนทางบริษัทต้องคืนเงินที่เหลืออยู่ในนั้นให้

ถ้ามองแบบง่าย ๆ ก็คงคิดว่าดีจัง แต่ถ้ามองจริง ๆ มันไม่เหลือทางเลือกให้ผู้ให้บริการมากนัก

เป็นผมก็ต้องพยายามหากำไรด้วยวิธีอื่น เช่น ถ้าคนร้องเรียนกันมาก ๆ ก็อาจจะต้อง

คิดค่าบริการของวันด้วย ว่านอกจากจะซื้อ ค่าโทรแล้ว ต้องซื้อวันด้วย เพื่อเอาค่าบริการรับสาย

หรือไม่ก็ต้องคิดค่าบริการทั้งคนโทร ทั้งคนรับ หรือเพิ่มค่าบริการให้สูงขึ้น 

มีชาวต่างชาติคนนึง นำเสนอว่า ที่อินเดีย ใช้กลไกการตลาดในการตัดปัญหานี้

เมื่อหลายปีก่อน เค้าซื้อ 100 บาท ใช้ได้แค่ 70 บาท เพราะต้องเสียค่าอื่น ๆ สารพัด

เค้าไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการโวยวาย แต่ใช้กลไกการตลาดในการช่วยเหลือ คือเปิดโอกาสให้มีการแข่งขัน

กันมาขึ้น ถึงขนาดที่ว่า ไม่ต้องถึงระดับประเทศ แต่แค่ระดับรัฐ (คงหมายถึงจังหวัด) 1 รัฐ ยังอาจมีสัมปทาน

ได้ถึง 4-5 สัมปทานเลย ทำให้ตอนนี้ เค้าซื้อ 100 บาท แต่เค้าใช้ได้ถึง 120 บาท

ว่าไปแล้ว ก็นึกย้อน ๆ ไปถึงนโยบายเก่า ๆ ของรัฐบาล ที่เคยมีนโยบายประมาณนี้เหมือนกัน

แต่ก็มีกลุ่มคนช่วยกันคัดค้าน ด้วยเรื่องว่า ต่างชาติยึดครอง หรือผลประโยชน์อะไรซักอย่างจำไม่ได้

นโยบายประมาณนี้ก็เลยตกไป โดยลืมนึกถึงการแบ่งกันกินของบริษัทใหญ่ในประเทศที่ควบคุมตลาด

และควบคุมทางเลือกของเราเสียหมด จนโดนเอาเปรียบแต่ก็อ้าปากเรียกร้องอะไรไม่ได้

ดูเหมือน monopoly ในไทยมันรุนแรงจริง ๆ เรารับสื่อกันแค่บางด้าน แล้วตัดสินกันบ่อย ๆ 

ทำให้เกมการเมืองเบื้องหลัง ดูเข้มข้น และมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม  



session หลัง ก็เป็นหัวข้อเดิมๆ ที่มักทำกันประจำ คือแชร์ไอเดียกันและปลุกระดม

ให้เราเปลี่ยนจากประเทศผู้บริโภค กลายเป็นประเทศผู้ผลิตแทน

รวมถึงการ update สภาวะการของกลุ่มตลาดของเรา การเข้ามาของต่างชาติ

และที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของการเข้าตีตลาดโลก พัฒนาสู่ความเป็นสากล



ผมว่าการรวมกลุ่มพูดคุย กันยังงี้ ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย ทั้งได้ไอเดียจากคนที่เก่ง ๆ 

ทั้งปลุกระดมความห้าวหาญในการทำงานในสาขาของตัวเอง

ความคิดใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ การร่วมมือใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

วงการอื่นก็น่าจะมีการผลักดันให้เกิดการรวมตัว และเป็นผลักดันกันให้มากขึ้นคงดี

มหานคร

สวัสดี สวัสดี

มหานครแห่งนี้ มีทุกอย่างให้เลือกสรร

บริการ สินค้า ก็ครบครัน

แล้วท่านประสงค์สิ่งใด

ความสบายใจ

... อ่าาาาา เป็นบริการแบบเติมเงินรึเปล่าคะ

เอ่อ ถ้าไม่มีเอาความสงบ รึความสุขก็ได้

... เรายังไม่มีบริการเคาเตอร์เซอร์วิส สำหรับสินค้านี้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะขอรายละเอียดไว้ได้ไหมว่ามันคืออะไร

ไม่เป็นไร ไม่มีก็ไม่เอา

ขอบคุณคะ ขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั๊ยคะ

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไปวัดมา

เมื่อปลายเดือนตุลาคม 

ใช้เวลาวันหยุด นั่งรถไปที่ยโสธร ... วัดป่าคำม่วง วัดสาขาวัดหนองป่าพง

ทีแรกเห็นว่า พระอาจารย์ โรเบิร์ต สุเมโธ จะมา

เคยฟัง file เสียงท่านมาแล้ว ชอบที่ท่านเทศน์เหมือนกัน แนวคิดและการเล่าเรื่องแบบตะวันตก

แต่เอามาเล่าในวิถีพุทธ ให้ความแตกต่างทางแนวคิดดีเหมือนกัน

แต่ท่านก็ไม่ได้มา 5555

ไม่เป็นไร เพราะยังไง ก็ได้กราบหลวงตาชู กับพระจากวัดพรหมประปา พระอาจารย์เรืองฤทธิ์

เราก็ได้สอบถามเรื่องการปฏิบัติ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หลวงตาชู สอนว่า "ให้มีอุเบกขากับอารมณ์ ไม่ีมีดี ไม่มีร้าย ให้ใช้อุเบกขา ในการรับรู้"

ส่วน พระอาจารย์เรืองฤทธิ์ นั้นสอนว่า "ที่เรายังตัดกิเลศไม่ได้ เป็นเพราะเราเห็นว่ามันเป็นของดี มีของดีอยู่ใกล้ ก็เลยไปหยิบไปคว้ามันไว้ ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อปัญญาแก่รอบขึ้น ก็จะเห็นว่ามันเป็นของไม่ดี ของสกปรก เมื่อนั้นเราจะวางมันลงเอง และไม่อยากหยิบมันขึ้นมาอีกหรอก"

ตอนท้ายเราต้องรีบลากลับก่อน ท่านยังบอกอีกว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก".

เอ๊ะยังไง 5555 ก็งง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามท่่านอีก กราบลาแล้วก็รีบกลับกรุงเทพมาเลย

ไปต่างจังหวัดแล้วดีมาก ๆ บรรยากาศเค้าดีจริง สงบ ร่มใจ แค่อยู่ในวัด ใจก็นิ่ง มีสติเกิดถี่แล้ว

ขอบพระคุณพระอาจารย์ทั้งสองท่ามาก ๆ ครับ