วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ความรู้ประจำวัน

พอมีเวลาดูตัวเอง เลยรู้ว่าวัน ๆ นึงตัวเองได้ความรู้ที่สำคัญ ๆ อะไรบ้าง เลยเอามาเขียนไว้ดีกว่า 
  • ปูมีนาฬิกาดวงจันทร์ น้ำขึ้นมันจะหยุด น้ำลงมันจะหาอาหาร ไม่เกี่ยวว่ามันอยู่ใกล้น้ำรึเปล่า
  • สัตว์อื่นไม่กินจักจั่นเพราะไม่เคยเห็นมัน เนื่องจากมันไปอยู่ใต้ดินถึง 17 ปีจึงขึ้นมาผสมพันธ์
  • เรื่องตลกของดอกไม้กับนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกพยายามทำให้ปากยาวขึ้นเพื่อจะกินน้ำหวานได้ ทำให้ปากยาวไป เกษรดอกไม้ไม่โดนหัว ดอกไม้จึงยาวขึ้น เพื่อให้- ปากนกต้องยื่นเข้าไปจนหัวโดนเกษรดอกไม้จะได้ผสมพันธ์ ปากนกจึงต้องยาวขึ้นอีก แล้วเกษรก็ต้องยาวขึ้นอีก
  • สมองเราสามารถรับภาพได้เร็วมากขึ้น แทบจะเห็นรถที่เร็ว 100 กม ต่อชั่วโมงเป็นภาพสโลได้เลย โดยการปฏิเสธการประมวลผลภาพสี ประมวลผลแค่ขาว กับดำเท่านั้น ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นได้เมื่อเกิดสภาวะคับขัน และจะเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตา ถ้าหากสามารถบังคับใช้ได้ตามใจคงจะดี
  • โลกไม่เคยว่าเว้นสงคราม
    A MILITARY HISTORY TIMELINE OF WAR AND CONFLICT ACROSS THE GLOBE 3000 B.C. to A.D. 2008
  • ร่างกายมนุษย์เริ่มเสื่อมสภาพลงตั้งแต่ช่วงอายุ 25 - 30 และคนก็พายามจะยืดอายุให้อยู่ได้นานขึ้นเรื่อย ๆ คนแ่ก่ที่สุดที่เคยมีบันทึกอายุ 122 ปี แต่ลองนึกภาพว่าจะเป็นยังไงถ้าอายุยืนกว่านั้น แค่ 80 นี่พยายามจะให้มีชีวิตรอดไปวัน ๆ ก็ลำบากแล้วนะ (การทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อยีน สามารถยืดอายุให้หนอนได้ ถ้าเทียบกับมนุษย์ก็มีอายุเท่ากับ 500 ปั !!)
  • ทะเลทรายซาฮาร่า เคยเป็นที่ราบลุ่มซาฮาร่ามาก่อน
  • แมงกระพรุนมีตา 4 ตา และมองเห็นได้
  • จากรูปร่างของมันทำให้เราคิดกันว่ามันไม่มีสมอง แต่ที่แน่ ๆ คือมันคิดได้ เพราะมีการทดลองว่ามันไม่ชอบสีไหนบ้าง
  • หนวดของแมงกระพรุนจะมีฉมวกเล็ก ๆ อยู่ในกระเปาะ ซึ่งจะยิ่งออกมาด้วยความเร็วกว่ากระสุนปืน เจาะเข้าไปในร่างเหยื่อเมื่อหนวดไปสัมผัส
  • พิษแมงป่องเป็น neurotoxic มีผลต่อเส้นประสาท
  • พิษสีน้ำตาลของแมงมุม ละลายผิวหนัง
  • พิษงูทำลายเส้นโลหิต
  • พิษแมงกระพรุน ทำลายทุกอย่าง ทำให้เซลเสียหาย ปิดการทำงานของเส้นประสาท ทำให้หัวใจหยุดชะงัก แต่โจมตีเส้นประสาททำให้เกิดความเจ็บปวด และยาวนาน ถ้าพิษโดนเม็ดเลือดแดงเซลเม็ดเลืดแดงจะระเบิด

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

หนังสือกับชีวิต

ได้อ่านเรื่อง หนังสือกับชีวิต ของ angeduriz แล้วก็คันไ่ม้คันมืออยากจะเขียนบ้าง (จิตหลงไปคิด)
เพราะนึกย้อนกลับไปเราก็เป็นหนอนหนังสือคนนึงเหมือนกัน เพียงแต่แนวที่อ่านนั้นหลากหลายเสียจน
ผสมปนเปกันไปหมด จนกลายเป็นเป็ดไปเสียอย่างนั้น เดินได้ ก็ไม่สวย บินได้ ก็ไม่สูง ว่ายได้ ก็ไม่นาน

จำได้แม่บอกว่าตอนเด็ก ๆ ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนมาก เริ่มอ่านหนังสือตั้งแต่ยังอ่านไม่ได้พูดไม่ชัด
เลยต้องเป็นการ์ตูน คงเป็นเพราะมีภาพให้ดู แล้วเดาเนื้อเรื่องไปได้ สมัยนั้นเป็นเห็นอะไรมีภาพต้อง
หยิบจับมาเปิดอ่าน

พออ่านหนังสืออก เลยเหมือนได้ระบายความเก็บกด อะไรที่อ่านไม่ออกก็อ่านได้แล้วจึง
อ่านไม่ยั้งเลยทีเดียว จำช่วงชีวิตในช่วงประถมไม่ค่อยได้ จำได้แต่เรื่องพิเรณที่ทำกันกับเพื่อน
ไม่เว้นว่าง แต่มีอย่างนึงที่จำได้คือ จะต้องมีหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ยัดไว้ใต้โต๊ะทุกวัน ไว้อ่านในคาบเรียน
และเศรษฐศาสตร์ในวัยเยาว์ของเราคือ เราจะนึกทุกครั้งก่อนใช้เงินว่า ถ้าซื้อของสิ่งนี้
จะเช่าการ์ตูนได้กี่เล่ม ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้เงินกับเรื่องอื่น นอกจากเช่าการ์ตูน ช่วงไหนการ์ตูนออกใหม่เยอะ
ก็ไม่ค่อยมีเงิน ออกน้อยก็เงินเก็บเยอะ (เป็นผลให้ไม่เคยได้เลือกซื้อเสื้อผ้าเองเลยจนโต
เพราะพอได้เงินมาซื้อก็คิดว่า ถ้าเรายอมใส่ชุดเก่า เราก็เช่าการ์ตูนอ่านได้อีกหลายเล่มเลยทีเดียว T-T)
สมัยประถมนี่จำได้ว่าจะมีหนังสือพวก ที่สุดในโลก หรืออะไรประมาณนี้มาหลอกขายบ่อย ๆ
แล้วเราก็ซื้อมาอ่านเสียทุกครั้ง แล้วอีกอย่างที่มหาสารคาม ในห้องสมุดชุมชน จะมีมุมเด็กที่มีหนังสือการ์ตูน
คนมาบริจาคมาไว้ให้อ่านด้วย ช่วงไหนไม่มีเงินก็จะไปขลุกอยู่ห้องสุมด เพราะนอกจากจะมีหนังสือ
ให้อ่านเยอะ แล้วก็ยังเย็นอีกด้วย

พอเข้าชั้นมัธยม การ์ตูนที่ชอบอ่าน เริ่มออกไม่ทันใจ การ์ตูนเก่า ๆ ที่น่าอ่านก็อ่านไปจนหมดแล้ว เลยเริ่มละทิ้งตัวตน อ่านมันเสียทุกอย่าง แทบจะเรียกได้ว่า ไล่อ่านการ์ตูนมันทุกเล่มที่มีอยู่ในร้านเลยทีเดียว จะสนุกไม่สนุก การ์ตูนผู้ชาย การ์ตูนผู้หญิง ก็อ่านไปหมด จนเริ่มจะไม่มีอะไรให้อ่าน ทั้งการ์ตูนออกช้า หรือบางทีไม่มีเงินเช่า
จึงเริ่มบ่ายหน้าไปห้องสมุด ก็ไม่รู้จะอ่านอะไรก็อ่านไล่หมวดไปเรื่อย ๆ จำได้ว่าหนังสือหลักที่อ่านเลยคือสาราณุกรม มีกี่สำนักพิมพ์ กี่แบบ ก็อ่านจนหมด ถ้าใครจำได้ สมัยนั้นจะมีอยู่ชุดหนึ่งเป็นแบบสี่สี เล่มใหญ่มาก ๆ และมีแบบเล่มเล็กด้วย
แยกแต่ละเล่มเป็นหมวด เรื่องโลก ดวงดาว อื่น ๆ มากมาย ชุดนั้นชอบที่สุด ถึงขนาดใช้กองทุนยืมการ์ตูน
ของเราไปซื้อมาครบทุกเล่มเลยทีเดียว นิสัยเดิม ๆ สมัยประถมก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก่อนหนังสือเรียนจะใส่กระเป๋า
การ์ตูนไว้ใต้โต๊ะ แต่ขึ้นมัธยมมา หนังสือเรียนใส่ใต้โต๊ะหนังสืออื่นใส่กระเป๋า เพราะต้องอัพเดททุกวัน
ห้องสมุดตอนเรียน ม.ต้น ก็เล็กแสนเล็ก อ่านไปปีสองปี ก็แทบจะบอกได้แล้วว่า เล่มไหนอยู่แถวไหน อย่างน้อยต้องเคยผ่านตาเปิดอ่านคำนำแล้วเกือบทุกเล่ม

ขึ้น ม.ปลายเรื่องอ่านการ์ตูนนี่หนักมาก จะขนการ์ตูนไปมากพอที่จะอ่านได้ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนจนเลิกเรียน
แถมมีเป็นเด็กสาธิต เข้าใช้ห้องสมุดมหาลัยได้อีก ห้องสมุดก็ใหญ่โตมาก ๆ แทบจะอ่านได้ทั้งวันเลยทีเดียว
แต่ช่วงนี้เล่นคอมด้วย ทำให้กลายเป็นพวกชอบคิด แถมอ่านมามากรู้มามาก เลยยิ่งมีเรื่องให้คิดเยอะเข้าไปอีก
กลายเป็นพวก โรคชอบคิดติดหนังสือ ไปเลย เห็นเศษกระดาษหรืออะไรใกล้มือ ก็หยิบมาอ่านไปเสียหมด

พอเป็นยังงั้น ช่วงมหาลัยเลยกลายเป็น จากการอ่านหนังสือเพื่อความสนุก กลายมาเป็นการ เสพความคิด เสพอักษร แทน
ที่ใช้คำว่าเสพ เพราะรู้สึกว่าต้องการคิด ต้องการอ่านตลอดเวลา ถ้าไม่อ่านก็ต้องมีเรื่องให้คิด จะว่างเป็นไม่ได้ต้องอ่านเสมอ
ไปไหนมาไหนก็ต้องถือหนังสือการ์ตูนหรือหนังสืออะไรซักอย่างติดมือไปด้วยตลอด
หนักเข้าก็ไม่เว้นแม้แต่ตอนอาบน้ำ เคยมีบางครั้งถึงเอาหนังสือไปอ่านเวลาอาบน้ำ เพราะรู้สึกว่า นอกจากเวลาถูสบู่ นอกนั้นก็
แค่รอให้น้ำชำระร่างกาย รู้สึกเสียดายเวลาตรงนั้นเลยเอาหนังสือไปอ่านด้วย -*-

กว่าจะมารู้ตัวแล้วเริ่มแก้นิสัย ก็เอาตอนจะเรียนจบ เพราะรู้สึกว่าสายตาเริ่มเสีย เพราะเวลาอ่าน ก็อ่านไปเสียทุกที่ บนรถก็อ่าน ระหว่างเดินทางก็อ่าน ที่แสงไม่พอก็อ่าน กินข้าวก็อ่าน แล้วหนักสุดก็อ่านสิ่งต่าง ๆ ผ่านจอคอม ต้องเพ่งจอนานๆ
ทำให้ตาเสียมาก ๆ แต่กำทำไงได้ ทำงานอยู่กับคอมนี่นา ก็เลยต้องอ่านนู่นอ่านนี่หน้าคอมตลอด


ถ้าตาบอดขึ้นมาคงจะหมดอาลัยในชีวิตไปเลยทีเดียว

อักษรจงเจริญ 555

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ถ้ากรุงเทพน้ำท่วม

พอดีได้มีโอกาสไปพูด ให้คนอื่นฟัง ตอนที่ผมพูดเรื่องเกี่ยวกับ ปัญหาโลกร้อน บอกว่าอีกไม่นานกรุงเทพอาจจะถูกน้ำท่วม ก็ดูเห็นจะเป็นเรื่องขบขันกันไป

พอดีไปอ่านเจอข่าวนี้มา เลยเอามาแปะไว้ให้ดูเพื่อยืนยัน ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเรื่องที่ผมพูด ใช่ว่าจะไม่มีมูล

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

"นับตั้งแต่พิบัติภัยสึนามิถาโถมเข้าใส่ชายฝั่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล คนทั่วโลกเริ่มหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ตามติดมาด้วยพายุไซโคลนนาร์กีสถล่มประเทศพม่าและเหตุแผ่นดินไหวในประเทศจีน

หลายประเทศทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่อาจจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ในชั่วข้ามคืน หากไม่มีมาตรการรับมือดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการด้านการเตือนภัย แล้วประเทศไทย โอกาสที่จะเผชิญกับมหันตภัยทางธรรมชาตินี้มีมากน้อยแค่ไหน ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จะเป็นผู้ให้คำตอบ

ตอนนี้มวลมนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่กับอะไร 4 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศได้รับความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งพายุและแผ่นดินไหว

ขณะนี้โลกเรากำลังเผชิญกับภัยธรรมชาติที่มีความผิดปกติจนเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องความรุนแรง ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินและผู้คนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีให้เห็นเรื่องของการเกิดภัยพิบัติถี่ขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ระบุว่า สาเหตุของการเกิดภัยธรรมชาติที่ผิดปกตินี้มีผลกระทบมาจากสภาวะโลกร้อน อย่างเช่นภัยธรรมชาติที่เห็นได้ชัดคือพายุนาร์กีสที่ประเทศพม่า ที่ก่อตัวในมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิสูงพอ แต่สำหรับการเกิดแผ่นดินไหวนั้น ทางวิชาการถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ

ประเทศไทยมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในรูปแบบของพายุมากน้อยแค่ไหน

บอกได้เลยว่าประเทศไทยมีอัตราเสี่ยงภัยพายุแน่นอนและมีทุกปี ขึ้นอยู่กับว่าปีไหนมีน้อย ปีไหนมีมาก แต่สำหรับปีนี้มีอัตราเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม จะมีมรสุมที่ก่อตัวมาจากมหาสมุทรแปรซิฟิกเข้ามาทางอ่าวไทย และมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนบน ภาคกลางจนถึงภาคเหนือ ซึ่งผลกระทบจะเกิดกับชุมชนใหญ่ๆ เมืองใหญ่ๆ ของประเทศแน่นอน ขณะนี้เราก็ยังไม่สามารถคำนวณได้ว่า ความรุนแรงจะมากน้อยแค่ไหน จะเท่าพายุนาร์กีสหรือไม่ อาจน้อยหรือมากกว่า เพราะเราต้องรอให้พายุที่จะเกิดขึ้นนั้นก่อตัว เคลื่อนตัว ขึ้นมาก่อน เราถึงจะคำนวณได้จากทิศทาง เส้นผ่าศูนย์กลาง และแรงลม หากตรวจจับได้ว่ามีการก่อตัวของพายุกลางทะเล เราจะสามารถคาดคะเนได้ก่อน 3-5 วัน แต่หากให้คาดการณ์ได้ว่าพายุลูกต่อไปจะเกิดความรุนแรงมากเท่าไร อันตรายแค่ไหน ไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ไหนตอบได้

ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวไหม

อย่างที่บอกการเกิดแผ่นดินไหวนั้นเป็นภัยธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งโลกประสบมาหลายร้อยล้านปี การเกิดแผ่นดินไหวมีสาเหตุมาจากการปลดปล่อยพลังงาน ระบายพลังงาน จากใจกลางใต้ผิวโลกมาสู่พื้นผิวโลก อันนี้ปกติ ซึ่งพลังงานใต้เปลือกโลกยังมีอีกมหาศาล สำหรับประเทศไทยนั้นโชคดี เราไม่มีพื้นที่อยู่บนหรือใกล้รอยแยกของเปลือกโลกเหมือนประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และอินโดนีเซีย

พื้นที่เสี่ยงของไทยต่อการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ที่ไหน

ประเทศไทยของเราอยู่ใกล้กับรอยเลื่อนของเปลือกโลก มี 13 จุดทั่วประเทศที่เราเฝ้าระวัง ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ไล่ลงมาทางกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ไปถึงจนภาคใต้ ซึ่งประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินยุบตัว แผ่นดินถล่ม ก็ต่อเมื่อเกิดการปลดปล่อยพลังงานผ่านรอยเลื่อนดังกล่าวรอยหนึ่งรอยใดก็จะได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเราไม่รู้อีกว่ามันจะรุนแรงแค่ไหน

ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในประเทศไทยคืออะไร

ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของอาคารสูงว่า สามารถทนทานต่อการสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอาคารหลายแห่ง เอาแค่ใน กทม.มีการสร้างมานานแล้ว ตรงนี้วิศวกรหลายคนพูดเหมือนกันว่า หากเกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาดกลาง เพียงแค่ 7-8 ริกเตอร์ ก็จะมีตึกหลายตึกทรุดตัวลงมา เพราะทนแรงสั่นสะเทือนไม่ได้ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพียงแต่ภาวนาว่าอย่าเกิดการปล่อยพลังงานที่บริเวณรอยเลื่อนในไทยเลย ไม่เช่นนั้นก็คงเห็นภาพตึกหลายตึกพังลงมา เพราะกฎหมายบ้านเราไม่เคยระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับการรองรับเรื่องนี้ไว้เลย อันที่จริงแล้วเราต้องออกกฎหมายเหล่านี้มาป้องกันเหตุสุดวิสัยนี้ แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้เลยต่างก็สร้างเอาราคาถูกเข้าว่า

ประเทศไทยมีความพร้อมในการเฝ้าระวังภัยพิบัติทางธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน

เรื่องพายุหรือลมมรสุมเนี่ยผมแน่ใจว่า กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยมีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์ตัววัด การเฝ้าระวัง รวมไปถึงการเตือนภัยที่ดี ดีจนแทบจะบอกได้ว่าเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคนี้เลยทีเดียว แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเราจะเอาข้อมูลที่กรุมอุตุฯ เตือนไปบอกชาวบ้านอย่างต่อเนื่องยังไงมากกว่า หากเขารับรู้ชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านก็คงจะปลอดภัย แต่เรื่องแผ่นดินไหวนั้นยอมรับว่าขณะนี้ก็คงพยายามติดตั้งระบบตรวจวัดคลื่นแผ่นดินไหว ซึ่งปัจจุบันเราก็มีแต่มันยังไม่สมบูรณ์เท่าไร แต่ก็อยู่ในมาตรฐานที่รับได้

นอกจากภัยพิบัติทางธรรมชาติแล้ว ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนมีอะไรอีก

จากที่มีการศึกษาและหากเป็นจริง อีกภายใน 50 ปีข้างหน้า โลกจะร้อนขึ้นอีกประมาณ 2-6 องศา ผลที่ตามมาคือระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหลายฟุต เนื่องจากการละลายของน้ำแข็งลงสู่มหาสมุทร ก่อให้เกิดการพังทลายของแนวชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมื่อมีพายุรุนแรง การสูญเสียตามแนวชายฝั่งและแนวชายหาด ที่ลุ่มน้ำขัง และอุตสาหกรรมตามแนวชายฝั่ง น้ำเค็มจะแพร่เข้าสู่พื้นดิน ก่อปัญหาแก่น้ำบริโภค ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล และน้ำเค็มซึมสู่แหล่งน้ำจืดใต้ดิน เกิดพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้นและบ่อยครั้ง แหล่งการเกษตรและการประมงจะเปลี่ยนแปลง เช่น ผลผลิตทางการเกษตรของประเทศแคนนาดา และสหภาพโซเวียตอาจเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลผลิตของสหรัฐอเมริกาลดลง

มีการเลื่อนตัวของแนวร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้ปริมาณฝนในบางพื้นที่ตลอดจนตำแหน่งพายุเปลี่ยนแปลง คลื่นความร้อนและความแห้งแล้งจะทวีความรุนแรงและบ่อยขึ้น การลดลงของก๊าซโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ มีผลต่อเนื่องถึงสุขภาพของมนุษย์ขาดโภชนาการต่อเนื่อง ทำให้เกิดโรคต่างๆ และเกิดโรคพืชและโรคสัตว์

ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรหากอุณหภูมิสูงขึ้น 2-6 องศา

หลังจากนี้ไปน้ำทะเลจะสูงขึ้นทุกวัน อีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า กทม.จะกลายเป็นเมืองใต้บาดาลอย่างถาวร เรื่องนี้ผมพูดมานานมากแล้ว ทุกวันนี้ผมท้อ เพราะหลายครั้งที่ผ่านมา ผมและนักวิชาการคนอื่นพูด ผมวิเคราะห์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เห็นจะมีผลอะไร แทนที่จะเอาไปตั้งคณะกรรมการศึกษา สิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ หาแนวทางป้องกัน กลับนิ่งเฉยไม่ทำอะไร ผมต่อสู้มาหลายรัฐบาล แต่ไม่ได้รับความสนใจ หลายสิ่งหลายอย่างมีคนต่อต้านค้านไม่เห็นด้วย ทุกวันนี้ผมก็เลยไม่พูด ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมของประเทศ หากเกิดสภาวะแบบนั้นจริงๆ ซึ่งมันก็ช้าไปกับการที่จะหาวิธีป้องกันอย่างที่เราคำนวณไว้

การพัฒนาศักยภาพและทิศทางในอนาคตของศูนย์เตือนภัยฯ

เราพยายามที่จะพัฒนามาตลอด ตั้งแต่มีการจัดตั้งศูนย์ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าเลย ไม่ได้รับความสนใจจากผู้นำประเทศ ไม่ได้รับการพัฒนาในทิศทางที่ควรจะเป็น คือมีศักยภาพและมาตรฐานสากล เทียบเท่าที่เขาเจริญแล้ว เช่น สิ่งที่มองเห็นได้ชัดว่าเราด้อยกว่าเขาคือ เราไม่มีสถานภาพที่ชัดเจน องค์กรไม่มีการระบุชัดเจนว่าทำอะไร อยู่ในระดับไหน มีเจ้าหน้าที่เท่าไร อะไรต่างๆ ไม่มีความแน่ชัด จึงไม่มีผลงานที่จะออกไปต่อสาธารณชน ที่อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้เป็นการประคับประคองเท่านั้น หากต้องการที่จะพัฒนาป้องกันอย่างจริงจัง ต้องทำในวันนี้ก่อนที่มันจะสายไป

คนไทยควรปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้

ก็คงต้องทำตัวปกติ อย่าวิตกกังวลมากไป ติดตามข่าวสารที่มีการเตือนออกมา ศึกษาวิธีการป้องกันไว้บ้าง อย่างเช่นหากเกิดแผ่นดินไหวควรจะทำตัวอย่างไร ซึ่งข้อมูลลักษณะนี้ก็มีการประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั่นคือตอนนี้เรารับรู้แล้วว่า สาเหตุที่ในระยะนี้ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง เนื่องจากโลกได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยาความร้อนของเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น หากอุณหภูมิในทะเลสูงขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงบ่อยครั้งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นบทเรียนที่มนุษย์จะต้องหยุดทำลายสิ่งแวดล้อม ด้วยการปล่อยสารพิษสู่ชั้นบรรยากาศ"

เรื่อง : ทีมข่าวรายงานพิเศษ (ข้อความทั้งหมดนี้คัดลอกจากที่นี่)

ภาพ : ณัฐพงศ์ จีรังสวัสดิ์



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับผม ปัญหาโลกร้อนคงเป็นเรื่องยากสำหรับเผ่าพันธุ์เราแล้วหละที่จะหยุดมัน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ

แล้วก็ทิ้งคำถามไว้ตรงนี้ว่า

ตัวคุณเองเตรียมพร้อมรึยังที่จะรับผลที่จะเกิดขึ้น
ถ้าน้ำท่วมโลก กรุงเทพเป็นเมืองบาดาล คุณเองจะเป็นอะไร จะทำยังไงให้ตัวเองอยู่รอด
ที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ สามารถทำให้คุณสานต่อหรือสร้างสรรค์อารยธรรมขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่

อย่างอาชีพโปรแกรมเมอร์อย่างผม ถ้าน้ำท่วมโลกก็คงลำบาก ตอนนั้นผมบอกคนอื่นไปว่า ผมก็จะบวช เป็นผู้นำทางจิตใจของอารยธรรมใหม่ ก็กำหนดบทบาทของตัวเองไว้ว่าอย่างนั้น อาจจะฟังดูฟุ้ง ๆ แต่ตอนนี้ก็อ่านหนังสือธรรมะ กับพวก survival guide หลาย ๆ อย่างเหมือนกัน ... อะไรก็เกิดขึ้นได้ จะเตรียมพร้อมก็คงไม่เสียหาย ดีกว่า ได้แต่รอ แล้วไปสติแตก ตอนอะไรไม่เป็นไปตามที่คิด

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ตาลุง : ไฟแชค

- วันนี้เอ็งมีสิ่งใดมาเสนออีก
+ นี่ลุง วันนี้ติดมาแค่นี้
- นี่มัีนสิ่งใดกัน หรือจะเป็นกระบอกน้ำเยี่ยงคราก่อน
แต่เพียงเท่านี้คงไม่พอดับกระหายดอก
+ ไม่ใช่หรอกลุง อันนี้เรียก ไฟแชค ไว้จุดไฟ
- ข้าเห็นของวิเศษเอ็งไม่น้อยแล้ว มิประหลาดใจอันใดดอก แสดงมาเถิด
+ งั้นลุงดูนี่นะ

แชะ ๆ ๆ ฟู่ ๆ ๆ

- พวกเอ็งสิ้นคิดกันแล้วหรือไร ของสิ่งนี้ไว้จุดไฟ มันส่งเสียง แชะ แชะ พวกเอ็งจึงเรียกมันว่าไฟแชะรึ
+ 5555 เออใช่แฮะ ลุงนี่ก็เข้าใจสังเกตุนะ
- ไอ้เด็กน้อยผู้นี้ ตัวกูนี้เป็นถึงปราชเมธีแห่งกรุงศรี มีหรือจะสู้ปัญญาเด็กอย่างเอ็งมิได้
แต่ข้าสงสัยอยู่สิ่งหนึ่ง เหตุใดของสิ่งนี้ จึงใช้น้ำมาก่อเกิดไฟ
+ อ่า อันนี้มันไม่ใช่น้ำอะลุง มันเป็นแก็สเหลว มั๊ง ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เอาเป็นว่ามันไม่ใช่น้ำเปล่าละกัน
- ชั่วเวลาไม่ช้าไม่นาน สิ่งอันไม่ควรเกิดก็บังเกิดได้ น้ำเคยใช้ดับไฟ พอถึงเวลาผ่านไปน้ำก็ใช้จุดไฟได้
+ โหลุง แค่นี้อะเด็ก ๆ นี่ เด๋วคราวหน้าจะเอาของเจ๋งกว่านี้มาให้ดู ลุงลองนึกดูนะ ลุงเอาก้อนหินแนบหู แล้วคุยกับเมียลุงที่เมืองสุพรรณได้เลยหละ คราวก่อนลุงเล่าว่าพระนเรศจะทรงยกทัพออกไปรับศึก พระยาพะสิมกับพระยาพุกาม ที่แถวนั้นนี่ฝากหินก้อนนึงไปให้เมียลุง จะได้คุยกันได้ ลุงจะได้ไม่เป็นห่วงไง
- เออ ให้มันจริงเถอะ

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

อดทน อดทน อดทน

สุดแรงสุดที่จะนั่งรำจวนกำสรวบสุดคิด                
พึ่งใครก็สุดจิตร                                    รำพึง  
แสนโศกแสนทุกขแสนแสวงสำนักนิ์สำนึง            
แสนร้อยเร่งร้อนรึง                                อุรา    
หาเพื่อนหาผู้จะพักพำนักนิพ้นจะหา                     
หาฝั่งก็เห็นฟ้า                                      กับฟอง

                                                สมุทรโฆษคำฉันท์
                                                   


อยากใช้ชีวิตสบาย ก็ต้องทนงานหนักหละนะ
แต่เวลาต้องทำงานแล้วคิดอะไรไ่ม่ออกเลยนี่มัน ... จี๊ดจริง ๆ
เหนื่อยก็ไม่รู้จะพักยังไง ไปต่อก็ยังคลำทางไม่ค่อยเห็น
ก็ต้อง อดทน อดทน อดทน อดทน อดทน
ยังไงตอนนี้ก็รวยแล้ว เหอะ ๆ เสียดายแต่รวยอย่างเดียว แต่ยังไม่มีเงินนี่สิ
เฮ้อ ต้องรีบหาเงินให้เยอะ ๆ จะได้สบายกับเค้าบ้าง


ปล.พร่ำเพ้อ ไม่มีอะไร