วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

ความเรียบง่าย กับความสมบูรณ์แบบ

honda cv750 วางตลาดปี 1969 (ปีที่มนุษย์ได้เหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก)
เร่งความเร็วจาก 0-60ไมล์ได้ภายใน 7 วินาทีครึ่ง
มีคุณภาพสูงขนาดที่วิ่งได้ 100,000 ไมล์ โดยไม่มีปัญหา
มีเทคโนโลยีและสมรรถนะสูงกว่ามอเตอร์ไซต์ที่ผลิตออกมาในปีเดียวกันนั้นแบบไม่เห็นฝุ่น
ปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมการออกแบบ รถมอเตอร์ไซต์ในสมัยนั้นได้อย่างนำสมัย
ผลงานชั้นเลิศทางวิศวกรรมนี้รวมถึงการใช้ดิสเบรกเป็นครั้งแรก ทำให้สามารถหยุดได้เร็ว
(สมัยนั้นใช้ดิสเบรกกับเครื่องบิน แม้แต่รถยนต์ส่วนใหญ่ยังไม่มีการใช้ด้วยซ้ำ )
ใช้เครื่องยนต์แบบสี่สูบเรียงแบบเดียวกับรถเฟอรารี่ แต่ราคาโรงงานเพราะเป็นรถผลิตจำนวนมาก
เสียงเครื่องยนต์กระหึ่ม นุ่ม เหมือนกับเสียงของเฟอรารี่ในยุคนั้น ให้พลังต่อเนื่อง
ความนุ่มของการขับขี่ ถึงขนาดที่วางแก้วใส่น้ำไว้บนเบาะ ขณะเร่งเครื่อง น้ำแทบจะไม่กระฉอกจากแก้ว
แต่ทุกอย่างที่ว่ามานั้นกลับเป็นข้อด้อยของรถรุ่นนี้
มันฟังดูแปลก
แต่นักขับขี่ให้ความเห็นว่าการขับรถ CV750 มันน่าเบื่อ เพราะมันราบเรียบเกินไป และมันทำทุกอย่างได้ดีเกินไป
มันไม่มีอารมณ์ มันเป็นรถที่สมบูรณ์ มันแล่น หยุด เข้าโค้ง ได้อย่างสมบูรณ์ สมบูรณ์มากเกินไป จนทำให้มันน่าเบื่อมาก

แปลกมะ แปลกมาก


แต่รถที่ขายดีที่สุด ก็คือ honda เหมือนกัน นั่นคือ Honda C100 Super Cub
"Honda introduced its first model in the United States, the 1959 Honda C100 Super Cub. The Honda Cub holds the title of being the best-selling vehicle in history, with around 50 million units sold around the world." [จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Honda]
เครื่องยนต์ที่ไม่ได้สลับซับซ้อนไปกว่า เครื่องยนต์รถตัดหญ้า หนัก 50 กิโลกรัม
กำลังแค่ 4 แรงม้า ขนาด 1 สูบ เกียร์ 3 จังหวะ ทำความเร็วได้แค่ 50 ไมล์ต่อชั่วโมง
เป็นรถที่ออกแบบมาให้ใช้จนพัง บางครั้งคุณใช้นำมันพืชเติมแทนน้ำมันก็ขับได้
ด้วยความที่ออกแบบมาง่าย ทำให้ต่อให้คุณทำรถตกจากตึกชั้น 5 แค่เปลี่ยนล้อหน่อย คุณก็ยังขี่มันต่อได้

เป็นเรื่องที่น่าคิดที่คนเรามักจะชอบอะไรที่มันง่าย ๆ และเข้าใจง่าย มากกว่าอะไรที่มันยุ่งยากซับซ้อน

แต่โดยปกติเวลาเราทำงาน เราก็มักอยากจะออกแบบให้มันออกมาดี ดูแลในรายละเอียด และแน่นอนเราก็ถูกสอนมากอย่างนั้น เวลาเราเลือกซื้อก็มักจะคิดว่า อะไรที่มันคุ้มค่าที่สุด ประสิทธิภาพดีที่สุด
แต่เอาเข้าจริง เราก็มักจะเลือกอะไรที่มันง่าย ๆ มากกว่า

แล้วงานของอัจริยะ ก็มักจะเป็นการนำเสนอสิ่งที่เรียบง่าย ให้ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุม เป็นการตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป (เหมือนการฝึกจิตเลยแฮะ)

ไม่มีความคิดเห็น: