วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

"ธรรมะ" และ "ทำไม" ในโรงพยาบาล

นานทีกว่าจะต้องได้ไปโรงพยาบาล จำไม่ได้แล้วเสียด้วย ว่าครั้งสุดท้ายที่ต้องไปโรงพยาบาลในฐานะคนไข้นี่มันเมื่อไหร่กัน
คงจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยป่วย ไม่ก็เป็นความคิดพิลึกของผมเองที่ว่า ถ้าเราให้คนอื่นรักษา
ร่างกายเรามันก็จะอ่อนแอลง การไม่ไปหาหมอ ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเพราะมันจะได้ชินกับการรักษาตัวเอง
อีกอย่าง ถ้ามันป่วยหนักจะตายจริง ๆ ก็คงปล่อย ๆ มันตายไปแหละ ไม่อยากให้ใครมายื้อชีวิตไว้ ... เหนื่อย
ก็เลยแทบจะไม่ได้ใช้บริการโรงพยาบาลเอาเสียเลย ตอนไปเป็นเพื่อนคนอื่นก็ไม่เท่าหร่นะ 
ดูเฉย ๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเป็นพิเศษ แต่คราวนี้พอต้องเข้าโรงพยาบาลในฐานะ ผู้ใช้บริการ

ดูอะไร ๆ มันก็แปลกตาไปหมด 

ส่วนนึง อาจจะมาจากมุมมองที่เรามีให้กับโลกนี้มันต่างไปด้วยหละมั๊ง

บังเอิญต้องไปตรวจสุขภาพครบเซ็ตที่โรงพยาบาล มองทางไหนก็เห็นแต่คนป่าวย
ดูไม่มีใครมีความสุขที่นี่เท่าไหร่ เข้าไปในโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ
รู้สึกถึงแต่ ความป่วย ความเจ็บความตาย ... เหมือนตัวเองจะป่วยขึ้นมาเลย ... เหอะ ๆ

นั่งรอซักพัก ก็ได้กระดาษมาปึกนึง เป็นรายการที่ต้องไปตรวจ เหมือนเล่นหา RC เลย

ด่านแรกนี่เค้าให้ตรวจฉี่ งานที่เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่"ทำไม"มันจะเป็นเรื่องยากมาก ๆ เลย
ก็ไอ้กระบอกนั่นมันโคตรจะเล็กเลยอะ ยากนะไอ้การจะเล็งไปที่เล็ก ๆ แล้วปล่อยแล้วต้องหยุดเนี่ย
กว่าจะบรรจุกระบอก แบบไม่ให้เปื้อนได้เนี่ย ... ใช้ทักษะน่าดู

แล้วก็ไปเจาะเลือดต่อ เคยคิดนะว่าตัวเองไม่กลัวเข็ม เพราะเคยโดนหมางายไปทีนึง
ต้องไปโรงพยาบาลให้หมอ จิ้มทุกวันอยู่เป็นอาทิตย์เลย ก็เลยฉย ๆ กับเข็มซะละ
แต่พอมาจาะเลือดนี่ มันมาเจาะที่แขนอะ เหมือนมาเจาะให้เราดูใกล้ๆ 
พยาบาลก็เอามืือมาจับ ๆ เข็มก็เล่มใหญ่ ๆ 
พยาบาลทำท่าลังเล ๆ ด้วยอีก จิตเกิดเลย เหอะ ๆ ๆ ๆ
ความกลัว ความกังวล ความปรุงแต่ง มากันไม่ขาดเลย 
เห็นขึ้นมาชัด ๆ เลยว่า ตัวเอง คิดปรุงแต่งไปสารพัด เข็มใหญ่จัง จะเจ็บมั๊ย
จะปวดมั๊ย จะกลัวมั๊ย โดนจิ้มแล้วหมดจอดูดเลือดไปเยอะมั๊ย เห็นเลือดแล้วจะกลัวมั๊ย
ก็คิดไปเยอะแยะอะนะ พอหมอจะจิ้มเข้าจริง ๆ ก็หายใจเข้าไปปื๊ดใหญ่ๆ 
ดูเหมือน ความคิดฟุ้งซ่านมันก็หายไปหมด ... สตินี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
ก็เลยตั้งใจไว้ว่า จะกลัวรึจะเจ็บ ก็เอาไว้ก่อนละกัน เอาไว้ให้เค้าจิ้มเสร็จก่อนค่อยว่ากัน
คิดได้งั้นก็ใจโล่ง ๆ ขึ้นมาเลย แต่เสียตรงที่เอาจิตไปจับอยู่ที่ปลายเข็มนี่สิ
เหมือนจะเห็นเข็มอันใหญ่ขึ้น เห็นล้วงลึกเข้าไปตามรูเข็มเลย
พอมันจิ้มปุ๊ป ความรู้สึกก็ไวขึ้นอีกมาก แอบกลัวเจ็บขึ้นมาอีก ก็เลยเอาใจไปไว้ที่อื่นแทน
เคยฟังหลวงพ่ออำนาจว่าตอนท่านผ่าตัด ท่านก็เอาใจไปไว้ไกล ๆ ผลแล้วได้ผล
ก็ัยังมองแขนอยู่อะนะ อยากจำภาพไว้ได้ว่า เวลาโดนจิ้มมันเป็นยังไง
แต่เอาใจไปนึกเหมือนตอนเวลาที่นอนทับแขน ที่มันเป็นแขนเราเอง แต่เราไม่รู้สึกอะไรเลย
พอจะจำไอ้ความรู้สึกแบบนั้นได้บ้าง ก็เลยเอามาใช้ตอนนี้ซะเลย ทำเหมือนนี่ไม่ใช่แขนเรา 
(ก็ยังเจ็บอยู่ดี แต่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เหอะ ๆ) 

ปลายเข็มแหลมๆ ค่อย ๆ แหวกเนื้อเราเข้าไป จากปลายเข็มเล็ก ๆ ที่สัมผัสเนื้อ มันค่อย ๆ ชอนลึกเข้าไป
ผ่านผิว ผ่านเข้าไปถึงหลอดเลือด รู้สึกจึ๊กเล็ก ๆ ขึ้นมา เหมือนมันไปถึงหลอดเลือดแล้ว
แล้วพยาบาลก็ค่อย ๆ ดึงหลอดขึ้นมา เลือดข้น ๆ ไหลเข้าไปในเข็มเรื่อย ๆ
ดึงขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ดึงจะสุดหลดเข็มเลย เพราะต้องเอาเลือดไปตรวจสามอย่าง 
ก็เลยต้องดูดเลือดไปพอใส่ใน tube ได้สามอัน
แล้วก็ค่อย ๆ ดึงเข็มออกจากแขน เหลือรูเล็ก ๆ ไว้ให้ระทึกนิดหน่อย ... ตื่นเต้นดี
สุดท้าย สัญญามากมายที่เกิดไปตอนแรก มันก็งั้น ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดซักหน่อย 
มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ

ไปอีกซักนิด ก็ไปนั่งรอ X-Ray มีลุง ๆ ป้า ๆ มานั่งรอกันจนเต็ม 
ที่ห้องเดียวกับห้องที่เราไปนั่ง มีคุณยายคนนึงนั่งอยู่ ดูท่าจะกำลังจะเปลี่ยนชุด 
( ผู้หญิงต้องเปลี่ยนชุดเวลาจะ X-Ray ) 
คุณยาย ค่อย ๆ พยายามพยุงตัวขึ้นมา เกาะไปตามผนังเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อ
ดูท่านขยับแล้วเหมือนต้องเค้น พลังชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อมาใช้ในการขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ 
ร่างกายที่เราใช้อยู่ทุกวัน ไม่เคยคิดเลยว่า ซักวันนึง มันจะกลายเป็นก้อนหนักขนาดนี้ได้
ผมรู้นะ ว่าซักวันเราต้องแก่ และคิดอยู่เสมอว่า ความแก่ไล่ล่ามาทุกที 
แต่ไม่เคยรู้สึกมากเท่านี้ ว่าชีวิตนี้ ร่างกายนี้เป็นเรื่องยาก เป็นของหนัก 
นึกภาพออกเลยว่าซักวันถ้าเราอายุเท่าเค้ามันจะเป็นยังไง 
นี่ขนาดคุณยายตัวนิดเดียวยังต้องเค้นแรงขนาดนั้น แล้วตัวขนาดเราเนี่ย ... คงต้องเอาชิ้นส่วนหุ่นมาเสริม
เห็นแล้วก็ปลง ๆ พอเริ่มมีความรู้ทางธรรมบ้างการดูคนแก่มาก ๆ ก็ทำให้เข้าใจชีวิตขึ้นเยอะ 

แล้วก็เสร้จผลตรวจโรค ผลที่ได้ออกมาดูจะเป็นอะไรที่น่าแปลกใจ 
เพราะผมค่อนข้างจะใช้ชีวิต แบบไม่คิดว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงซักเท่าไหร่
อยากกินอะไรก็กิน เที่ยวหนัก ดื่มหนัก หักโหม มีอะไรให้เราลอง ก็อยากจะลองไปหมด 
แถมสมัยเรียน ก็มีอาการไม่ค่อยดีบ่อย ๆ กระเพราะบ้าง หน้ามืดบ้าง เจ็บหัวใจบ้าง
อย่างน้อยสภาพเครื่องในก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พึ่งจะมางดเที่ยว งดดื่มก็แค่ไม่กี่ิเดือนมานี่เอง
แต่ผลการตรวจกลับออกมาดูีดีจนน่าแปลกใจ ผลทุกอย่างอยู่ในในระดับมาตรฐาน 
ออกจะเป็นคนสุขภาดีซะด้วยซ้ำ ที่น่าแปลกใจก็คือ แม้แต่ คลอเรสตอรอล กับระดับน้ำตาล ก็ยังอยู่
ในระดับปกติด้วยนี่สิ ออกจะแปลกใจาก เพราะอาหารที่เราชอบนี่ แหล่งคลอเรสตอรอลทั้งนั้น
ก็ดี สุขภาพดี จะได้อยู่ดูโลกให้นานขึ้นอีกซักหน่อย

แต่ที่เด็ดสุดของประสบการณ์ในโรงพยาบาลก็คือ ปรอท
ปรอทธรรมดาๆ ที่เราเคยเอาจิ้มตูดตอนเด็ก ๆ และจิ้มปากตอนโตนี่แหละ
เคยได้ยินเหล่าผู้ปฏิบัติธรรมที่สอนได้อย่างห้าวหาญ พูดให้ฟังบ่อย ๆ นะว่า
"ถึงจุด ๆ นึงเราจะเห็นได้เลยว่า แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นความสุขมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน"
ตอนได้ฟังเราก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจนะ แต่พึ่งจะมาเข้าใจว่าที่เราคิดว่ารู้อะ มันก็ไม่ได้รู้จริง ๆ หรอก
เพราะเมื่อก่อนเราคิดว่า ที่สุขมันก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งเหมือนกัน คงเป็นเพราะถึงแม้จะสุขมาก
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นไม่อยุด ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นเฉย ๆ ก็คงจะเปลี่ยนกลายเป็นทุกข์ไป เหมือนเกาที่คัน
เกามากก็แสบแต่ก็ยังอยากเกาอีกอยู่ดี ซึ่งไอ้ยังงี้มันก็ยังเป็นการแยกสุขแยกทุกข์อยู่ดี 
ไม่ได้มองเห็นว่าสุขกับทุกข์มันเป็นเรื่องเดียวกันซักหน่อย 
แล้วที่มาอ๋อเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเห็นความจริงแล้วว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันหรอก
แต่ที่รู้ขึ้นมาได้ ก็เป็นเพราะคุณปรอทนี่แหละ เอ๊ะ ไม่เรียกว่ารู้สิ แค่รู้ว่า ถ้ารู้ควรจะรู้ยังไงต่างหาก
คือไปยืนดูปรอทแล้วมันก็นึกขึ้นมาได้ 
ว่าปรอทนี่มันทำงานได้ด้วยความร้อน อากาศร้อนน้อย มัก็ลงต่ำ ร้อนมากมันก็ขึ้นสูง
ตัวมันเองก็ไม่ได้ร้อนไม่ได้เย็น มันก็แค่บอกว่ามีควมร้อนแค่ไหน
ที่มันร้อนหรือมันเย็นขึ้นมานี่ มันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก 
เราเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเองว่า มันร้อน หรือมันเย็น
ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่าที่เราคุ้นเคย เราก็คงคิดว่าเย็น และร้อนในทางกลับกัน
เป็นเราต่างหากที่ไปกำหนดมันเอาเอง เป็นเราต่างหากที่ เกิดสัญญากับมัน
พอปิ๊งยังงี้ขึ้นมาก็เลย นึกโยงไปถึงเรื่องทุกข์ได้
เออแฮะ ทุกข์มันก็คล้าย ๆ กันนี่นา
ไอ้สุขกับทุกข์ นี่มันก็คงเหมือนร้อนกับเย็นที่เราคิดไปเองนั่นแหละ
จริง ๆ ตัวมันก็เป็นของมันอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าที่มันเป็นอย่างนั้น มันสุขหรือทุกข์
แต่มันก็เปลี่ยนไปด้วยความมากน้อย แต่ก็ด้วยดัชนีชี้วัดเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน
ก็เลยพึ่งมาอ๋อตรงนี้ว่า ไอ้เรื่องแนวคิดเกี่ยวกับสุขทุกข์ของเรานี่ ที่เราไม่เข้าใจ เพราะมันมีสัญญา
ของเราเองเข้ามาคั่นนี่เอง เราไม่ได้รู้สึกอย่างที่มันเป็น แต่มันมีความชอบความชังเข้ามาด้วย
พอเห็นยังงี้แล้ว กลับมาก็เลยฟังเทปหลวงพ่อปราโมทย์เก่า ๆ อีกรอบ 
เทปเดิม คำเดิม เรื่องเดิม แต่ความเข้าใจที่แตกต่าง
ดูเหมือนคำพูดที่เราคิดว่าเราเข้าใจและไม่เข้าใจตอนนั้น พอตอนนี้มาฟังอีกครั้ง
มันก็เกิดความเข้าใจที่แตกต่างไป สิ่งเดิม ๆ แต่ให้ความรู้ที่แตกต่าง 
ตอนนี้ก็เลยพอจะรู้ขึ้นมาบ้างละว่า ถ้ามันจะเข้าใจขึ้นมา มันจะเข้าใจแบบไหน
( เอ๊ะ แต่อันนี้ก็เหมือนเกิดสัญญาอันใหม่ขึ้นมาในใจอีกอันนี่นา -*- )

เอาเป็นว่า ก็ต้องขอบคุณปรอท ขอบคุณโรงพยาบาล ขอบคุณเข็มฉีดยา ขอบคุณคุณยาย และหมอกับพยาบาลด้วย ที่ช่วยเปลี่ยนกะลาอันใหม่ ... ที่ใหญ่ขึ้นให้

ไม่มีความคิดเห็น: