เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางเทศบาลมาฉีดยาฆ่าแมลงแถว ๆ ที่พัก
หน้าตาเครื่องฉีกก็คล้าย ๆ ปืน gatling gun กระบอกใหญ่ ๆ
แต่ที่พ่นออกมาไม่ใช่กระสุน แต่เป็นควันมหาศาลกะเสียงกระหึ่ม
เราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เห็นมาฉีดกันอยู่บ่อย ๆ แต่กลิ่นชักจะซึม ๆ เข้ามา
ก็เลยต้องหนีไปอยู่ข้างนอกแทน
แต่พอออกมาเท่านั้นแหละ
แมลงสาบวิ่งเต็มถนนเลย
สงสัยหนีตายออกมาเหมือนกัน
บ้างก็หงายท้อง ชักกระแด่ว ๆ
บ้างก็วิ่งวนไปทั่ว
ตอนออกมาหน้าบ้านนี่ ยังเป็นในซอยย่อยอีกที
ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ (แต่ก็วิ่งกันเต็มถนนเลยอะนะ)
แต่พออกมาถึงถนนหลักของซอยนี่สิ
วิ่งกันให้รึ่ม
ใกล้ ๆ นั่นมีตลาดด้วย
คงไม่้ต้องพูดถึง
ออกมากันเป็นล้าน !!!
ยังกะงานแข่งมาราธอนแมลงสาบแห่งชาติ
วิ่งกันเต็มถนน ไปหมด
บางตัวก็เหนื่อยกับการมีชีวิตมาก นอนหงายท้องไปแล้วก็มี
แถมเวลารถวิ่งผ่านไปมา ก็เหยียบมันไปซะเยอะ
ซากแมลงสาบเกลื่อนถนน
แขนขาหลุดกระจายไปคนละทิศละทาง
ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เห็นมันวิ่ง ๆ กัน ก็ช่างหัวมัน
มีแหยง ๆ บ้าง เพราะมันเยอะมาก มากจริง ๆ
แต่เดินไปซักพัก ตอนจะถึงตลาดนี่
เหมือนจะโดนมันรุมเข้ามา ... อารมณ์แมลงสาบหนีตาย
คงเหมือนตอนมันหนีน้ำมั๊ง มันจะขึ้นที่สูงซะงั้น
----*----
ทำหนวดตั้ง ๆ วิ่งตรงมาอย่างเร็วเลย
ที่สำคัญ มาจากทุกทิศทุกทาง
จะเหยียบทิ้งซะก็กลัวผิดศีล
ก็รวบรวมลมปราณ รวบรวมสติ หลบเป็นตัว ๆ ไป
ทำ greedy หา path ที่ดีที่สุดไปเรื่อย ๆ 555
แต่ที่น่าสงสารกว่า คือแม่ค้าที่มีร้านข้าง ๆ ตลาดนี่ดิ
นึกสภาพว่า แมลงสาบพยายามหนีตายเข้าบ้าน
*0*
นอกจากไอ้พวกที่พยายามวิ่งกรูเข้าทางประตูหน้า
มันยังมีไอ้ที่เกาะ ตามผนังตามเสา พยายามไต่ ๆ เข้าไปอีก
ยังกะดูเรื่องเอเลี่ยนตอนประตูยานกำลังะเปิด
เราเห็นก็ออกแนวสยองไปเลย มันบุกทั้งด้านหน้า บน ล่าง ซ้าย ขวา
กรูเต็มหน้าประตูซะขนาดนั้น
แต่ดูเหมือนเจ๊เจ้าของร้านเค้าคงจะชินรึยังไงไม่ทราบ
ไม่ก็ต้องเคยเป็นนางเอกหนังstarship trooper มาแน่ ๆ
เพียงแต่อาวุธไม่ใช่ปืน แต่เป็นไม้กวาด
เจ๊ทำหน้านิ่ง ๆ มองไปกราด ๆ แล้วก็ฟาดตัวที่เข้ามาในระยะแขน
หนึ่งผั่วะ หนึ่งชีวิต
บางตัวไวหน่อย ก็โดนปัดกระเด็นไป แต่ก็วิ่งเข้ามาใหม่
ยืนทึ่งเจ๊แกอยู่ซักพัก ก็รีบ ๆ จ้ำออกไปหน้าปากซอย
กว่าจะกลับมาอีกที ศพแมลงสาบก็เกลื่อนแล้ว
เป็นประสบการณ์ที่สยองจริง ๆ
วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
พบผู้รู้
จริง ๆ หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่บ่น ๆ ไว้ว่าท้อไป แล้วจะหายท้อ
แต่ก็ยังไม่ได้กลับมาเขียนอะไรจริงจังอยู่ดี
แล้วตอนที่ไม่ได้เขียนนี่ ... ก็แอบอู้ แอบตามใจตัวเองตลอด
แถมยังติดความสงสัยในอีกหลาย ๆ อย่างในเรื่องการปฏิบัติ
แต่ตอนนั้นถ้าถามในสายเดียวกัน ก็คงได้รับคำตอบว่า สงสัยก็ให้รู้ว่าสงสัย
ก็เลยยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก ว่าตัวเองสงสัยอะไร แล้วสงสัยว่าตัวเองสงสัยอะไร
เหมือนมันติด ๆ อะไรอยู่สักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร
สัปดาห์ก่อนเลยออกเดินทาง ไปค้นหาตัวเองอยู่พักหนึ่ง
พอดีมีพี่ที่รู้จักกัน จะบวชด้วย เลยไปเริ่มต้นการเดินทางที่วัดนั้นซะด้วยเลย
ไปถึงวัด พองานบวชเสร็จ ก็เลยได้คุยกับหลวงพี่นิดหน่อย พึ่งรู้ว่าฟังหลวงพ่อปราโมทย์เหมือนกัน
ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้จากการปฏิบัติที่แต่ละฝ่ายไปเจอมา แล้วก็มีหลวงพี่จากวัดนั้นมาร่วมวงสนทนา
ก็ได้ความรู้เพิ่มมาอีกหลายอย่าง อย่างหลวงพี่รูปนั้น บอกว่าการปฏิบัติเราต้องทำสมดุลด้วย อินทรีย์ 5
ก็เป็นอีกเรื่องที่เราไม่รู้ พอไปจากวัดนั้น กะว่าจะไปที่อื่นต่อ แต่พ่อแม่มาดักพาตัวกลับบ้านซะก่อน
แต่พอกลับบ้านไปก็ยังเิดนทาง เดินบ้าง โบกรถบ้าง ขี่รถเองบ้าง แวะไปคุยตามที่ต่าง ๆ
ความรู้ที่ได้ก็ได้เยอะ แต่ที่ได้มากกว่า คือความสบายใจและโล่งใจมากกว่า
แต่ก็เป็นที่สังเกตุว่า พระหรือผู้ที่บอกว่าปฏิบัติเนี่ย หาที่จะตอบคำถามได้ตรงใจ หรือให้ความรู้ที่ได้ประโยชน์
ค่อนข้างจะมีน้อยไปหน่อย ส่วนมากจะเจอแบบบอกให้ทำความดี ทำสมาธิไป คุยเรื่องสภาวะหรือการปฏิบัติกัน
ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ หาคนสอนได้ตรงจริตเรานี่มันยากจัง นาน ๆ กว่าจะเจออาจารย์ตรงจริต
ส่วนเรื่องตอนเดินทางได้อะไรมาบ้างนั้น ตอนไปก็ไปคุยตัวเปล่า ๆ เลยจำลงหัวไม่ได้ ได้แต่แนวคิดจำลงมาในใจ
ถ้านึกออกเมื่อไหร่ จะเอามาเขียน ให้ได้อ่านก็แล้วกัน (มิน่าถึงเห็นนักปฏิบัติ พูดถึงเรื่องถอดเทปบ่อย ๆ ดูท่า
เราคงจะต้องหาเครื่องอัดมาพกติดตัวไว้ซักอันมั่งแล้ว)
แล้วเราก็มาปิดท้ายการเดินทางที่กรุงเทพนี่เอง ได้ไปงานเปิดตัวหนังสือคุณดังตฤณ
แต่วันนั้น คนเยอะเลยไม่ได้เข้าไปคุย (งานเลิกสี่โมง แต่เห็นเพื่อนบอกแจกลายเซ็นถึงเที่ยงคืนแหนะ)
เลยได้ไปเจออีกทีตอนพี่ตุลย์ไปแจกลายเซ็นที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ตอนยืนรอก็เห็นจิตไหว ๆ อยู่ตลอด
ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เป็นความสงสัยว่าจะได้ยินคำอะไรเสียมากกว่า
สงสัยเพราะฟังหลวงพ่อปราโมทย์มามาก เลยทำให้หมกมุ่นกับคำถามมาก ๆ ว่าควรถามว่าอะไร
ถ้าจะถามว่า ทำถูกหรือยัง ก็คงได้คำตอบว่าผิด เพราะคิดจะทำ
ถ้าจะถามว่า ต้องทำยังไงต่อ ก็คงได้คำตอบว่า ไม่ต้องทำอะไร แค่ดูไป
ถ้าจะถามว่า สภาวะที่ติดอยู่นี่จะแก้ยังไง ก็คงได้ตอบว่า ให้ดูที่ตัวอยากแก้ ที่อยากนั่นก็ผิดแล้ว
... คิดไปมากมาย สุดท้ายพอไปถึงต่อหน้า พี่ตุลย์เข้าจริง ๆ
ก็เลยถาม คำถามสุดปลอดภัพที่ได้ยินนักปฏิบัติเขาถามกัน
"ที่ปฏิบัติอยู่นี่เป็นยังไงบ้างครับ" - 5555 แอบขำในใจ
พี่ตุลย์ก็หลับตาลง ตอนนั้นเราก็นึกไปเยอะแยะ เสียงพากษ์สภาวะเต็มหัว
ดีใจ ก็เห็นว่าดีใจ ตื่นเต้นก็เห็นว่าตื่นเต้น ข่มก็รู้ว่าข่ม เครียดก็รู้ว่าเครียด อยากรู้ก็รู้ว่าอยากรู้
คุณดังตฤณหลับตาไป แป๊ปเดียว แต่เราฟุ้งซ่านซะมากมาย
โดยสรุป พี่ตุลย์บอกว่า เรามีจิตที่พร้อมที่จะรู้อยู่แล้ว จิตมีสภาวะดีแล้ว
แต่ว่ายังไม่เห็น เพราะเราไม่เห็นสภาวะเกิดดับอย่างที่มันเป็นจริง ๆ
พี่บอกว่าจิตของเราเวลาไปเห็นสภาวะ พอมีสติรู้แล้ว มันไม่ได้เห็นอนิจจัง
แต่มันไปดับอารมณ์นั้น ลงไปเลย
เหมือนอารมณ์นั้น ๆ เป็นเทียนที่จุดอยู่ แล้วพอมีสติรู้ตัวขึ้นมา
แทนที่จะเห็นมันค่อย ๆ มอดไหม้จนดับลง
เรากลับไปเป่ามันดับไปเลย เลยทำให้เราไม่ได้เห็นอนิจจังขอสภาวะ
ตัวจิตที่พร้อมที่จะรู้และมีสภาพที่ดีแล้วนั้นก็เลย ไม่ได้รู้ เพราะไม่มีอะไรให้รู้ -*-
(พอได้ฟังยังงั้น ก็เกิดใจหายวูบเลย เพราะก่อนหน้านี้ นึกว่าตัวเองปฏิบัติได้ดีขึ้น
พอมีสภาวะอะไรเกิดขึ้น พอเราเห็นมันก็ดับไปเลย ก็นึกว่าตัวเองทำถูกซะอีก
แต่พอมาพิจารณาดี ๆ ก็เห็นจริงตามคำที่ได้ยิน เพราะว่า ปกติเราถนัดเรื่องควบคุม
ความคิดตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง แล้วยิ่งรู้ด้วยว่าโดยปกติจิตมีธรรมชาติรู้สภาวะได้ทีละอย่าง
เวลาเกิดอารมณ์อะไรแล้วมีสติขึ้นมา เราก็ทำการ brute force สติไปกับการรับรู้ต่าง ๆ
รวมทั้งรู้ว่ารู้อารมณ์นั้นด้วย จนทำให้อารมณ์นั้น ๆ ดับไปในทันที
.... ฉลาดมาก .... ฉลาดจนโง่เลย .... เพราะงี้จิตก็เลยไม่ได้เห็นสภาวะเกิดดับตามความจริง)
พี่ตุลย์ได้ให้คำแนะนำว่าให้เปลี่ยนไปเป็นการปฏิบัติแบบ รู้เท้ากระทบแทน
ไม่ต้องตามรู้ไม่ต้องอะไร แต่ให้มีสติรู้เวลาที่เดิน ว่าเท้ากำลังกระทบ
ให้รู้กายไป จนกระทั่งมันวางกายลงได้ และเห็นว่ากายไม่ใช่ของเรา
อันนี้ก็แอบเฮือกอีกรอบ เพราะเมื่อก่อนเคยทำแบบรู้กาย จนรู้ไปทั้งตัว แล้วเกิดมิชฉาทิฐิไปว่า
อันนี้มันคือเพ่งกายเพ่งใจไป มันคงเป็นการฟุ้งซ่าน
เราก็เลยถามไปซื่อ ๆ ว่า "ปกติผมก็ชอบปฏิบัติแบบเดิน เพราะรู้สึกว่ามันมีสติ
แต่ว่าพอเดินไปแล้ว มันจะลงไปแช่ ๆ แล้วก็รู้ไปทั้งร่างกายเลย มันไม่ใช่ฟุ้งซ่านเหรอครับ
จะไม่กลายเป็นติดสภาวะไปเหรอครับ"
ก็ได้คำตอบว่า ไม่ใช่นะ อันนั้นแหละถูกแล้วให้รู้กายไปอย่างนั้นแหละ
พอคุยกันจบ ก็เกิดปีติขึ้นมาในใจ รู้สึกดีกับรู้สึกแย่ปนๆ กันขึ้นมา
รู้สึกดี ที่ได้รับคำชม ว่าจิตมีสภาวะพร้อมรู้ แย่ตรงที่มีสัญญาผิด ๆ ในใจเยอะแยะ
ขอกลับก็เลยเกิดความอยากปฏิบัติมากไปหน่อย เลยเดินรู้เท้าไปทั้งวันเลย
แต่เป็นรู้แบบผิด ๆ นะ เพราะใจมันฟุ้ง ๆ อยู่ มันแต่ดีใจ มัวแต่คิดย้อนไป
จนทำให้ไม่มีสติรู้ตัว ... แต่ก็ยังเดินอยู่ดีเพราะอยากปฏิบัติ
จากสยามไปสามย่าน กลับมาพักที่หอ แล้วก็เดินไปสีลม เดินในสวนลุมไปรอบนึง เดินออกด้านหลังสวน
มั่ว ๆ ไปตามซอยตามถนน โผล่ไปถึงเพลินจิต เดินไปเซ็นทรัลเวิร์ล แวะกินข้าวมันไก่ประตูน้ำ
กลับไปเดินดูรูปที่เซ็นทรัลเวิร์ลไปสยาม ไปมาบุญครอง สนามสุภฯ แล้ววนกลับมาสามย่านอีกที
อยากปฏิบัติมากไปหน่อย เลยกลายไปเดินฟุ้งซ่านรอบเมิงเลย
กลับมาก็นอนตายเลย 55555
ตอนนี้ก็เลย เวลานั่งทำงาน ก็ดูจิตไปเรื่อย
ถ้าว่าง ๆ ก็จะดูเท้ากระทบไป ช่วงนี้เลยชอบเดิน เดี๋ยวเดินไปซื้อของ เดี๋ยวเดินเล่น
ก็เดินรู้เท้ากระทบไปเรื่อย ๆ ถึงจะยังไม่ถูกเท่าไหร่
แต่สักพักก็คง จะรู้เอง เพราะเคยรู้สภาวะนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว
ถึงจิตจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังดีที่มีปลายทางให้ได้ทำ
การได้เจอผู้รู้นี่ดีจริง ๆ คำแนะนำง่าย ๆ ก็เหมือนช่วยให้เห็นอะไรได้หลายอย่างขึ้น
ช่วยเปิดทางช่วยนำทางให้กับเราได้อย่างดีทีเดียว
ต่อไปนี้คงต้องหาเวลาไปพบผู้รู้บ่อย ๆ เสียแล้ว
เพราะถึงไม่ได้เจอผู้รู้ แต่ถ้าได้เจอนักปฏิบัติด้วยกัน
ก็ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย
แต่ก็ยังไม่ได้กลับมาเขียนอะไรจริงจังอยู่ดี
แล้วตอนที่ไม่ได้เขียนนี่ ... ก็แอบอู้ แอบตามใจตัวเองตลอด
แถมยังติดความสงสัยในอีกหลาย ๆ อย่างในเรื่องการปฏิบัติ
แต่ตอนนั้นถ้าถามในสายเดียวกัน ก็คงได้รับคำตอบว่า สงสัยก็ให้รู้ว่าสงสัย
ก็เลยยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก ว่าตัวเองสงสัยอะไร แล้วสงสัยว่าตัวเองสงสัยอะไร
เหมือนมันติด ๆ อะไรอยู่สักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร
สัปดาห์ก่อนเลยออกเดินทาง ไปค้นหาตัวเองอยู่พักหนึ่ง
พอดีมีพี่ที่รู้จักกัน จะบวชด้วย เลยไปเริ่มต้นการเดินทางที่วัดนั้นซะด้วยเลย
ไปถึงวัด พองานบวชเสร็จ ก็เลยได้คุยกับหลวงพี่นิดหน่อย พึ่งรู้ว่าฟังหลวงพ่อปราโมทย์เหมือนกัน
ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้จากการปฏิบัติที่แต่ละฝ่ายไปเจอมา แล้วก็มีหลวงพี่จากวัดนั้นมาร่วมวงสนทนา
ก็ได้ความรู้เพิ่มมาอีกหลายอย่าง อย่างหลวงพี่รูปนั้น บอกว่าการปฏิบัติเราต้องทำสมดุลด้วย อินทรีย์ 5
ก็เป็นอีกเรื่องที่เราไม่รู้ พอไปจากวัดนั้น กะว่าจะไปที่อื่นต่อ แต่พ่อแม่มาดักพาตัวกลับบ้านซะก่อน
แต่พอกลับบ้านไปก็ยังเิดนทาง เดินบ้าง โบกรถบ้าง ขี่รถเองบ้าง แวะไปคุยตามที่ต่าง ๆ
ความรู้ที่ได้ก็ได้เยอะ แต่ที่ได้มากกว่า คือความสบายใจและโล่งใจมากกว่า
แต่ก็เป็นที่สังเกตุว่า พระหรือผู้ที่บอกว่าปฏิบัติเนี่ย หาที่จะตอบคำถามได้ตรงใจ หรือให้ความรู้ที่ได้ประโยชน์
ค่อนข้างจะมีน้อยไปหน่อย ส่วนมากจะเจอแบบบอกให้ทำความดี ทำสมาธิไป คุยเรื่องสภาวะหรือการปฏิบัติกัน
ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ หาคนสอนได้ตรงจริตเรานี่มันยากจัง นาน ๆ กว่าจะเจออาจารย์ตรงจริต
ส่วนเรื่องตอนเดินทางได้อะไรมาบ้างนั้น ตอนไปก็ไปคุยตัวเปล่า ๆ เลยจำลงหัวไม่ได้ ได้แต่แนวคิดจำลงมาในใจ
ถ้านึกออกเมื่อไหร่ จะเอามาเขียน ให้ได้อ่านก็แล้วกัน (มิน่าถึงเห็นนักปฏิบัติ พูดถึงเรื่องถอดเทปบ่อย ๆ ดูท่า
เราคงจะต้องหาเครื่องอัดมาพกติดตัวไว้ซักอันมั่งแล้ว)
แล้วเราก็มาปิดท้ายการเดินทางที่กรุงเทพนี่เอง ได้ไปงานเปิดตัวหนังสือคุณดังตฤณ
แต่วันนั้น คนเยอะเลยไม่ได้เข้าไปคุย (งานเลิกสี่โมง แต่เห็นเพื่อนบอกแจกลายเซ็นถึงเที่ยงคืนแหนะ)
เลยได้ไปเจออีกทีตอนพี่ตุลย์ไปแจกลายเซ็นที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ตอนยืนรอก็เห็นจิตไหว ๆ อยู่ตลอด
ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เป็นความสงสัยว่าจะได้ยินคำอะไรเสียมากกว่า
สงสัยเพราะฟังหลวงพ่อปราโมทย์มามาก เลยทำให้หมกมุ่นกับคำถามมาก ๆ ว่าควรถามว่าอะไร
ถ้าจะถามว่า ทำถูกหรือยัง ก็คงได้คำตอบว่าผิด เพราะคิดจะทำ
ถ้าจะถามว่า ต้องทำยังไงต่อ ก็คงได้คำตอบว่า ไม่ต้องทำอะไร แค่ดูไป
ถ้าจะถามว่า สภาวะที่ติดอยู่นี่จะแก้ยังไง ก็คงได้ตอบว่า ให้ดูที่ตัวอยากแก้ ที่อยากนั่นก็ผิดแล้ว
... คิดไปมากมาย สุดท้ายพอไปถึงต่อหน้า พี่ตุลย์เข้าจริง ๆ
ก็เลยถาม คำถามสุดปลอดภัพที่ได้ยินนักปฏิบัติเขาถามกัน
"ที่ปฏิบัติอยู่นี่เป็นยังไงบ้างครับ" - 5555 แอบขำในใจ
พี่ตุลย์ก็หลับตาลง ตอนนั้นเราก็นึกไปเยอะแยะ เสียงพากษ์สภาวะเต็มหัว
ดีใจ ก็เห็นว่าดีใจ ตื่นเต้นก็เห็นว่าตื่นเต้น ข่มก็รู้ว่าข่ม เครียดก็รู้ว่าเครียด อยากรู้ก็รู้ว่าอยากรู้
คุณดังตฤณหลับตาไป แป๊ปเดียว แต่เราฟุ้งซ่านซะมากมาย
โดยสรุป พี่ตุลย์บอกว่า เรามีจิตที่พร้อมที่จะรู้อยู่แล้ว จิตมีสภาวะดีแล้ว
แต่ว่ายังไม่เห็น เพราะเราไม่เห็นสภาวะเกิดดับอย่างที่มันเป็นจริง ๆ
พี่บอกว่าจิตของเราเวลาไปเห็นสภาวะ พอมีสติรู้แล้ว มันไม่ได้เห็นอนิจจัง
แต่มันไปดับอารมณ์นั้น ลงไปเลย
เหมือนอารมณ์นั้น ๆ เป็นเทียนที่จุดอยู่ แล้วพอมีสติรู้ตัวขึ้นมา
แทนที่จะเห็นมันค่อย ๆ มอดไหม้จนดับลง
เรากลับไปเป่ามันดับไปเลย เลยทำให้เราไม่ได้เห็นอนิจจังขอสภาวะ
ตัวจิตที่พร้อมที่จะรู้และมีสภาพที่ดีแล้วนั้นก็เลย ไม่ได้รู้ เพราะไม่มีอะไรให้รู้ -*-
(พอได้ฟังยังงั้น ก็เกิดใจหายวูบเลย เพราะก่อนหน้านี้ นึกว่าตัวเองปฏิบัติได้ดีขึ้น
พอมีสภาวะอะไรเกิดขึ้น พอเราเห็นมันก็ดับไปเลย ก็นึกว่าตัวเองทำถูกซะอีก
แต่พอมาพิจารณาดี ๆ ก็เห็นจริงตามคำที่ได้ยิน เพราะว่า ปกติเราถนัดเรื่องควบคุม
ความคิดตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง แล้วยิ่งรู้ด้วยว่าโดยปกติจิตมีธรรมชาติรู้สภาวะได้ทีละอย่าง
เวลาเกิดอารมณ์อะไรแล้วมีสติขึ้นมา เราก็ทำการ brute force สติไปกับการรับรู้ต่าง ๆ
รวมทั้งรู้ว่ารู้อารมณ์นั้นด้วย จนทำให้อารมณ์นั้น ๆ ดับไปในทันที
.... ฉลาดมาก .... ฉลาดจนโง่เลย .... เพราะงี้จิตก็เลยไม่ได้เห็นสภาวะเกิดดับตามความจริง)
พี่ตุลย์ได้ให้คำแนะนำว่าให้เปลี่ยนไปเป็นการปฏิบัติแบบ รู้เท้ากระทบแทน
ไม่ต้องตามรู้ไม่ต้องอะไร แต่ให้มีสติรู้เวลาที่เดิน ว่าเท้ากำลังกระทบ
ให้รู้กายไป จนกระทั่งมันวางกายลงได้ และเห็นว่ากายไม่ใช่ของเรา
อันนี้ก็แอบเฮือกอีกรอบ เพราะเมื่อก่อนเคยทำแบบรู้กาย จนรู้ไปทั้งตัว แล้วเกิดมิชฉาทิฐิไปว่า
อันนี้มันคือเพ่งกายเพ่งใจไป มันคงเป็นการฟุ้งซ่าน
เราก็เลยถามไปซื่อ ๆ ว่า "ปกติผมก็ชอบปฏิบัติแบบเดิน เพราะรู้สึกว่ามันมีสติ
แต่ว่าพอเดินไปแล้ว มันจะลงไปแช่ ๆ แล้วก็รู้ไปทั้งร่างกายเลย มันไม่ใช่ฟุ้งซ่านเหรอครับ
จะไม่กลายเป็นติดสภาวะไปเหรอครับ"
ก็ได้คำตอบว่า ไม่ใช่นะ อันนั้นแหละถูกแล้วให้รู้กายไปอย่างนั้นแหละ
พอคุยกันจบ ก็เกิดปีติขึ้นมาในใจ รู้สึกดีกับรู้สึกแย่ปนๆ กันขึ้นมา
รู้สึกดี ที่ได้รับคำชม ว่าจิตมีสภาวะพร้อมรู้ แย่ตรงที่มีสัญญาผิด ๆ ในใจเยอะแยะ
ขอกลับก็เลยเกิดความอยากปฏิบัติมากไปหน่อย เลยเดินรู้เท้าไปทั้งวันเลย
แต่เป็นรู้แบบผิด ๆ นะ เพราะใจมันฟุ้ง ๆ อยู่ มันแต่ดีใจ มัวแต่คิดย้อนไป
จนทำให้ไม่มีสติรู้ตัว ... แต่ก็ยังเดินอยู่ดีเพราะอยากปฏิบัติ
จากสยามไปสามย่าน กลับมาพักที่หอ แล้วก็เดินไปสีลม เดินในสวนลุมไปรอบนึง เดินออกด้านหลังสวน
มั่ว ๆ ไปตามซอยตามถนน โผล่ไปถึงเพลินจิต เดินไปเซ็นทรัลเวิร์ล แวะกินข้าวมันไก่ประตูน้ำ
กลับไปเดินดูรูปที่เซ็นทรัลเวิร์ลไปสยาม ไปมาบุญครอง สนามสุภฯ แล้ววนกลับมาสามย่านอีกที
อยากปฏิบัติมากไปหน่อย เลยกลายไปเดินฟุ้งซ่านรอบเมิงเลย
กลับมาก็นอนตายเลย 55555
ตอนนี้ก็เลย เวลานั่งทำงาน ก็ดูจิตไปเรื่อย
ถ้าว่าง ๆ ก็จะดูเท้ากระทบไป ช่วงนี้เลยชอบเดิน เดี๋ยวเดินไปซื้อของ เดี๋ยวเดินเล่น
ก็เดินรู้เท้ากระทบไปเรื่อย ๆ ถึงจะยังไม่ถูกเท่าไหร่
แต่สักพักก็คง จะรู้เอง เพราะเคยรู้สภาวะนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว
ถึงจิตจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังดีที่มีปลายทางให้ได้ทำ
การได้เจอผู้รู้นี่ดีจริง ๆ คำแนะนำง่าย ๆ ก็เหมือนช่วยให้เห็นอะไรได้หลายอย่างขึ้น
ช่วยเปิดทางช่วยนำทางให้กับเราได้อย่างดีทีเดียว
ต่อไปนี้คงต้องหาเวลาไปพบผู้รู้บ่อย ๆ เสียแล้ว
เพราะถึงไม่ได้เจอผู้รู้ แต่ถ้าได้เจอนักปฏิบัติด้วยกัน
ก็ช่วยให้มีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)